ขบวนการประชานิยมกับการตัดทอนความจริง ผ่านวาทกรรม “ประชาชน”
เคยสงสัยกันไหมเวลาข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับนักการเมือง นักกิจกรรมการเมือง หรือแกนนำม็อบได้มีการกล่าวถึงคำว่า “ประชาชน” เช่นกล่าวว่า ‘ประชาชนต้องการ…’, ‘ประชาชนเดือดร้อน’, ‘…คือผลประโยชน์ประชาชน’ คำว่า “ประชาชน” ในที่นี้นั้นหมายถึงใครกันแน่?
โดยเฉพาะเมื่อมีการชุมนุมประท้วงเรียกร้องประเด็นใหญ่ ๆ ที่ผู้คนในสังคมนั้นมีความเห็นแตกต่างหลากหลาย การใช้คำว่า “ประชาชน” กับการเรียกร้องในมุมมองความเห็นเพียงมุมเดียวนั้น เป็นสิ่งที่สะท้อนความจริงมากน้อยแค่ไหน เพราะถ้ายังมีประชาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับมุมมองนั้น ๆ คำว่า “ประชาชน” ในที่นี้ก็ไม่สามารถหมายถึงประชาชนทั้งหมดได้ แต่หมายถึงประชาชนเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้น กระนั้นแล้วทำไมคำว่า “ประชาชน” ถึงยังคงถูกใช้ในลักษณะนี้อยู่เรื่อย ๆไม่เพียงเท่านั้น ทำไมทุกครั้งที่มีการใช้คำว่า “ประชาชน” ในทางการเมือง เรากลับให้น้ำหนักคำ ๆ นี้อยู่เรื่อย ๆ
คำตอบหนึ่งได้อาจจะตอบได้นั่นก็เพราะ “ประชาชน” เป็นองค์ประกอบสำคัญในการเมืองระบอบประชาธิปไตย ซึ่งมีรากฐานสำคัญอันหนึ่งจากหลักการที่เรียกว่า popular sovereignty ที่แปลได้ว่า “ประชาชนเป็นใหญ่” นั่นคือการที่ความคิด ความต้องการ จนไปถึงสิทธิและอำนาจทางการเมืองของประชาชนนั้นเป็นใหญ่ที่สุดในสังคม รัฐบาล (ซึ่งก่อตั้งขึ้นจากการยินยอมให้อำนาจของประชาชน) จะต้องสนองตามความคิดและความต้องการของประชาชน พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ รากฐานของระบอบประชาธิปไตยนั้นเองที่ทำให้ “ประชาชน” อยู่ในจุดที่สำคัญที่สุดในสังคมและในการเมือง
เช่นนี้เอง ทุกครั้งที่มีการใช้คำว่า “ประชาชน” จึงดูเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่ช่วยให้คำพูดเหล่านั้นมีน้ำหนักหรือ ‘มีความชอบธรรม’ ในตัวมันเอง ถ้าจะเปรียบเทียบการเมืองตะวันตกในยุคก่อน ก็อาจจะเทียบการใช้คำว่า “ประชาชน” ได้กับการอ้างคำว่า “พระเจ้า” ในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองในระบอบการเมืองของกษัตริย์ต่าง ๆ ในยุโรป
กลับมายังปัจจุบัน เมื่อเราพิจารณาถึงข้อเท็จจริงในสังคม (ซึ่งก็เป็นจริงในอดีตเช่นกัน) เราจะเห็นได้ว่า “ประชาชน” ในสังคมหนึ่ง ๆ นั้นมีความ ‘หลากหลาย’ เป็นอย่างมากในความคิดความอ่าน ความเห็น หรือความต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมขนาดใหญ่ที่มีผู้คนจำนวนมากและมีความเป็นพหุวัฒนธรรม น้อยครั้งที่ความคิดหรือคำพูดใด ๆ จะเป็นสิ่งที่ประชาชนเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด หรืออาจจะกล่าวได้ว่าไม่มีความคิดหรือคำพูดใด ๆ เลยที่ประชาชนจะไม่เห็นต่างกัน
และด้วยความที่ข้อเท็จจริงดังกล่าวนั้นขัดกับหลักการ “ประชาชนเป็นใหญ่” ซึ่งเป็นหลักการที่มีแนวโน้มในการมองประชาชนเป็นก้อนเดียว จึงทำให้เกิดปรากฎการณ์ทางการเมืองหนึ่งขึ้นมาที่เรียกว่า populism
ในการเมืองไทยนั้น populism หรือที่แปลว่า “ประชานิยม” มักจะถูกใช้เรียกนโยบายและรูปแบบการบริหารราชการลักษณะหนึ่งซึ่งมีตัวอย่างชัดเจนที่สุดคือการดำเนินการของพรรคไทยรักไทย นำโดยทักษิณ ชินวัตร สมัยเป็นรัฐบาล [1]
อย่างไรก็ตาม การใช้ตัวอย่างเพียงหนึ่งตัวอย่าง ภายในประเทศ ๆ เดียว เพื่ออธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น อาจจะทำให้ไม่สามารถสลัดภาพจำของคำ ๆ นี้ซึ่งไปเกี่ยวพันกับตัวอย่างเดียวนั้น ๆ ได้ และทำให้ไม่เห็นภาพที่ชัดเจนเท่าใดนัก เพราะ “ประชานิยม” นั้นเป็นปรากฏการณ์ที่มีความกว้างมากและถูกใช้โดยขบวนการขับเคลื่อนทางสังคมการเมืองทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซึ่งเป็นประเด็นที่จะกล่าวได้ต่อไป แต่ก่อนอื่นนั้นเราจะต้องทำความเข้าใจสรุปแล้วประชานิยมคืออะไรกันแน่?
หากสรุปโดยสังเขปแล้ว “ประชานิยม” นั้นมีองค์ประกอบ 3 อย่างซึ่งพัฒนาต่อกันเป็นขั้น ๆ ไป คือ [2]
- การแบ่งสังคมออกเป็นสองฝ่ายที่ต่อต้านกัน คือเป็น “พวกเรา” กับ “พวกเขา” ซึ่งในที่นี้ก็คือ “ฝ่ายประชาชน” และ “ฝ่ายนักการเมือง”, “ชนชั้นปกครอง” หรือ “ชนชั้นนำ”
- การกำหนดให้การแบ่งดังกล่าวนั้นมีคุณค่าเชิงศีลธรรม กล่าวคือ “ฝ่ายประชาชน” หรือ “พวกเรา” นั้นเป็น “ฝ่ายดี” หรือ “ฝ่ายถูก” และฝ่ายที่ตรงกันข้ามนั้นเป็น “ฝ่ายร้าย” หรือ “ฝ่ายผิด”
- การยกให้แนวคิดของกลุ่มที่พวกเขาเรียกว่า “ฝ่ายประชาชน” หรือ “ฝ่ายดี” นั้นเป็นความคิดที่ถูกต้องชอบธรรมสูงสุด ในขณะที่ความคิดของอีกฝ่ายนั้นผิดและไม่ชอบธรรมเสมอ ซึ่งรวมทั้งแนวคิดของประชาชนกลุ่มอื่น ๆ ที่เห็นต่างกับกลุ่มที่ถูกสถาปนาเป็น “ฝ่ายประชาชน” ด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้นำและขบวนการเคลื่อนไหวแบบประชานิยมนั้นยังมีแนวโน้มในการดำเนินการอีก 4 อย่างคือ [2]
- พยายามสื่อสารและเข้าถึงประชาชนโดยตรง โดยไม่ผ่านตัวกลางอื่น ๆ เช่น พรรคการเมือง หรือ สื่อ
- ความผิดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น คำพูดที่ผิดไปจากข้อเท็จจริง หรือการดำเนินการที่ผิดพลาด มักจะถูกปัดออกจากความรับผิดชอบของขบวนการหรือผู้นำ นั่นเพราะถือว่าฝ่ายตนเองนั้นถูกเสมอ
- มีแนวโน้มในการยึดถือและเชื่อในทฤษฎีสมคบคิด
- มีความพยายามในการ “ทดสอบ” สถาบันหลักต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือมีหน้าที่คานอำนาจ ว่าสามารถต้านทานขบวนการหรือการดำเนินงานของพวกเขาได้หรือไม่
เมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว เราจะเห็นได้ว่า “ประชานิยม” ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของนโยบายหรือการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้น แต่ขยายไปถึงการขับเคลื่อนทางการเมืองอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะการเมืองมวลชนและการชุมนุมประท้วงของม็อบต่าง ๆ ที่ใช้แนวคิดและวิธีการแบบประชานิยมเป็นเครื่องมือทางการเมือง แม้ว่าจะบิดเบือนหรือตัดทอนความเป็นจริงออกไปเท่าใดก็ตาม
เพราะฉะนั้น นอกจากการดำเนินการของพรรคการเมืองภายใต้การควบคุมของทักษิณ ชินวัตรที่เข้าข่ายอยู่ในการขับเคลื่อนแบบประชานิยมแล้ว การขับเคลื่อนการเมืองของพรรคก้าวไกล กลุ่ม “คณะก้าวหน้า” และเครือข่ายทางสังคมการเมือง รวมทั้งการชุมนุมประท้วงหลายครั้งที่มีความสัมพันธ์ทั้งทางตรงทางอ้อมกับพวกเขาก็เข้าข่ายขององค์ประกอบและแนวโน้มแบบประชานิยมที่ได้กล่าวไปข้างต้น
ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งนี้ยังสะท้อนถึงความไหลลื่นของประชานิยมอีกด้วย เพราะประชานิยมของทักษิณนั้นอยู่ในกรอบของการเมืองฝ่ายขวาหรือขวา-กลาง (center-right ; แม้ว่าหลายคนจะเข้าใจอย่างผิด ๆ ว่าอยู่ฝ่ายซ้ายก็ตาม) ในขณะที่พรรคก้าวไกลและเครือข่ายนั้นอยู่บนรากฐานการเมืองฝ่ายซ้ายหรือซ้ายจัด (far-left) แสดงให้เห็นว่า “ประชานิยม” ไม่ใช่แนวคิดหรือวิธีการเฉพาะของการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ถูกนำมาใช้โดยทุกฝ่ายทุกฝั่ง
ย้อนกลับไปถึงประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรากฐานทางหลักการ “ประชาชนเป็นใหญ่” (popular sovereignty) ของระบอบประชาธิปไตย กับการใช้วาทกรรม “ประชาชน” ในการขับเคลื่อนการเมืองแบบประชานิยม อาจจะกล่าวได้มันเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดและขัดแย้งในตัวเองได้ระดับหนึ่ง เพราะหลักการแรกนั้น นำไปสู่รูปแบบการเมืองการปกครองที่มีกลไกสถาบันต่าง ๆ ที่คานอำนาจซึ่งกันและกัน แต่ในอีกมุมหนึ่งหลักการนั้นก็ทำให้เกิดปรากฏการณ์ประชานิยมที่ท้ายสุดสามารถเข้ามาทำลายรูปแบบการปกครองดังกล่าวได้ อาจจะพูดอีกอย่างได้ว่า “ประชานิยม” คือผลลัพธ์อันเป็นลบ หรือคือผลเสียที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของหลักการประชาธิปไตย ที่ท้ายสุดอาจจะกลับมาทำลายระบอบนั้น ๆ ลงได้
นี่เองจึงเป็นสิ่งที่นักคิดนักวิชาการมีความกังวลอย่างยิ่งต่อการเกิดขึ้นของขบวนการเคลื่อนไหวและขับเคลื่อนการเมืองด้วย “ประชานิยม” ทั่วโลก เพราะการอ้าง “ประชาชน” นั้นมีน้ำหนักในกรอบประชาธิปไตย แต่ก็สามารถถูกนำมาใช้อย่างบิดเบือนและตัดทอนความเป็นจริงลง เพื่อสนองเป้าหมายทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่งหรือนักการเมืองคนหนึ่ง ๆ จน “ประชาธิปไตยนั้นถูกบ่อนทำลายและกัดเซาะลง” [3]
การสังเกตและทำความเข้าใจ และต่อต้านกระแสประชานิยม ด้วยการก้าวข้ามการสร้างภาพและมายาคติแบบ “พวกเขา-พวกเรา” หรือวาทกรรม “ประชาชน-ผู้มีอำนาจ” ไปสู่การแลกเปลี่ยนถกเถียงและชี้ให้เห็นถึงความเป็นจริงในความหลากหลายของความคิดเห็นและความต้องการของประชาชนนั้นจะเป็นการพิทักษ์ประชาธิปไตยให้ยังคงทำงานต่อไปได้อย่างแข็งแรง
อ้างอิง :
รถไฟฟ้าแพง ‘แก้ได้’ แต่อย่าใช้ภาษีคนทั้งประเทศมาโอบอุ้มค่าโดยสารรถไฟฟ้าที่ใช้แค่คนในกรุงเทพฯ
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม