สหรัฐฯ ส่งออกน้ำมันพุ่งหลังซาอุฯ ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก 1 ล้านบาร์เรล/วัน ตั้งแต่เดือน ก.ค.
การส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ น่าจะได้รับแรงหนุนเพิ่มเติมในเดือนหน้า หลังซาอุฯ ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีก นักวิเคราะห์กล่าวเมื่อวันจันทร์ (5 มิ.ย.) พร้อมชี้ว่าสิ่งนี้จะทำให้ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ใกล้ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ร่อยหรอลงไปอีก
ซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นผู้นำโดยพฤตินัยขององค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (4 มิ.ย.) ว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมันลงอีกประมาณ 10% หรือ 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd) เหลือ 9 ล้านบาร์เรลต่อวัน เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และอาจขยายมาตรการปรับลดการผลิตออกไปได้อีกจนถึงปี 2024 เพื่อพยุงราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้น
นักวิเคราะห์กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะช่วยดันตัวเลขการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ และละตินอเมริกาไปยังยุโรปและเอเชีย และยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ผลิตในสหรัฐฯ ว่าราคาน้ำมันจะไม่ตกลงไปมาก แม้อุปทานจะลดลงจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็ตาม
การส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนมีนาคม โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณหนึ่งในสามของการผลิตทั้งหมดของสหรัฐฯ แม้ว่าปริมาณน้ำมันดิบคงคลังของประเทศจะลดลงใกล้ระดับต่ำสุดที่บันทึกไว้ที่ 815 ล้านบาร์เรลก็ตาม
ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่า 1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังซาอุฯ ประกาศลดกำลังการผลิต โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ซื้อขายที่ประมาณ 77.28 ดอลลาร์ (ราว 2,689 บาท) ในวันจันทร์ (5 มิ.ย.) ซึ่งต่ำกว่าจุดคุ้มทุนของซาอุฯ ซึ่งขณะนี้อยู่ที่ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ราว 2,874 บาท)
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลผลิตและการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย ประกอบกับอัตราค่าขนส่งที่สูง และส่วนต่างระหว่างราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ที่แคบลง ซึ่งส่งผลให้การส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ อ่อนแอลงในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อาจเป็นปัจจัยหลักที่กดดันการส่งออกน้ำมันของสหรัฐฯ
(1 ดอลลาร์ = 34.80 บาท)