รัฐบาลไทยต้องระวัง! ‘อ. ปณิธาน’ ชี้กลุ่มกะเหรี่ยง KNU สามารถสถาปนา ‘รัฐคู่ขนาน’ ในเมียนมาได้แล้ว และอาจใช้ช่องว่างฉกฉวยผลประโยชน์จากคนไทย
เมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2567 รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการตอบโจทย์ของ ไทยพีบีเอส ตอน “เมียวดีแตก เมียนมาเดือด จับตาคลื่นผู้อพยพ ?” โดยมีนายอภิรักษ์ หาญพิชิตวณิชย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ
รศ.ดร.ปณิธานกล่าวว่าสถานการณ์จริงในพื้นที่นั้น ยังเป็นการคุมเชิงกันอยู่ระหว่างรัฐบาลเมียนมา กับกองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (KNU) ทั้งนี้ฝ่าย KNU ควบคุมพื้นที่บริเวณนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่ทั้งหมด ถึงจะพยายามจะควบคุมทั้งหมด
แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะกลไกการบริหารจัดการเรื่องด่านชายแดน เรื่องการเก็บภาษี และการดูแลธุรกิจในพื้นที่ ซึ่งมีชาวต่างชาติเป็นหมื่นคนนั้น (ไม่ใช่ทั้งชาวไทยและเมียนมา) ยังต้องอาศัยเจ้าหน้าที่ชุดเดิม จึงต้องอาศัยการเจรจาต่อรองกัน ซึ่งในขณะนี้นั้นยังล้มเหลว แต่ก็ทำให้เจ้าหน้าที่บางกลุ่มหันมาสวามิภักดิ์กับฝ่าย KNU ได้ เพื่อการต่อยอดธุรกิจ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญที่จะทำให้ KNU เข้มแข็งขึ้นกว่าเดิม
นี่ถือได้ว่า KNU ประสบความสำเร็จในการสถาปนา “รัฐคู่ขนาน” กับรัฐเมียนมา ที่มีทหารเมียนมาคุมอยู่ ซึ่งนี่เป็นสถานการณ์ที่มีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นมาหลายเดือนแล้ว และได้กลายเป็นความจริงแล้ว ซึ่งนี่จะทำให้รัฐ KNU สามารถบริหารชายแดนและเก็บภาษีได้เอง ซึ่งเรื่องนี้จะส่งผลกระทบให้ทางการไทยจะต้องสร้างระเบียบปฏิบัติในการลาดตระเวนตามแนวชายแดนกับไทยใหม่
ทั้งนี้จะต้องจับตามองการเจรจาระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย ถ้าหากไม่สำเร็จก็จะมีการใช้กำลังระหว่างกัน ซึ่งทาง KNU เองก็มีการใช้ โดรนในการรับมือกับการโจมตีทางอากาศของฝ่ายรัฐบาลเมียนมา ซึ่งเรื่องเหล่านี้รัฐบาลไทยได้มีการเตรียมการมาเป็นปีแล้ว
แต่ทั้งนี้รัฐบาลไทยต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบรัดกุม เนื่องจากฝ่าย KNU นั้นได้อำนาจมาจากกลไกที่ไม่ปกติ และอาจใช้ช่องว่างในการฉกฉวยผลประโยชน์จากคนไทย ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ต้องระวังที่สุด
ประเทศไทย-จีน-อินเดีย-บังกลาเทศ-ลาว ได้มีการพูดคุยกับฝั่ง KNU ไปบ้างแล้วเพราะทุกประเทศรู้ดี และมีการประชุมกันที่เมืองไทยหลายครั้ง เพื่อรองรับสถานการณ์ ซึ่งวันนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ซึ่งจีนเป็นประเทศแรกที่ทำสำเร็จ เชิญทุกฝ่ายรวมถึงทหารเมียนมาไปพูดคุยกันที่คุนหมิง วางข้อตกลง-หลักปฏิบัติใหม่ทั้งหมดได้สำเร็จแล้ว