
ย้ำความสำคัญของโรงพยาบาลทหาร ‘เศรษฐา’ ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลทหารค่ายประจักษ์ศิลปาคม อุดรธานี เล็งพัฒนาเป็นโรงพยาบาลทหารตัวอย่าง
เมื่อวันที่ 19 ก.พ. 2567 ณ โรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม ตำบลหมากแข้ง อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม พูดคุยถึงประเด็นปัญหาของโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีรับฟังประเด็นปัญหาของโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม ซึ่งโรงพยาบาลค่ายประจักษ์ศิลปาคม ดูแลประชาชนที่เป็นผู้ป่วยนอก คิดเป็นสัดส่วน 77% ต่อปี อัตราการรักษา แพทย์ 1 คน ต่อคนไข้ 14,000 คนต่อปี และยังมีรถ Mobile ออกพื้นที่ตรวจรักษาประชาชนในจังหวัดอุดรธานี จังหวัดใกล้เคียง และตามแนวชายแดนจังหวัดหนองคาย
แต่ยังประสบปัญหาขาดบุคลากร ขาดอุปกรณ์ ขาดระบบไอที ขาดรถพยาบาลเคลื่อนที่ไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันบุคลากรทางการแพทย์สังกัดกระทรวงกลาโหมก็ลาออกเป็นจำนวนมาก เพราะไม่มีโอกาสเติบโต ไม่มีโอกาสบรรจุ อัตราเงินเดือนน้อยกว่าเงินเดือนสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ซึ่งภายหลังจากการได้รับฟังปัญหา นายเศรษฐา ทวีสินหารือร่วมกับ พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งร่วมเดินทางมาด้วยกัน โดยตั้งใจจะช่วยแก้ปัญหาให้โดยเร็วที่สุด และพัฒนาเป็นโมเดลโรงพยาบาลทหารนำร่องที่อุดรฯ เพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชนมากขึ้นครับ
นายเศรษฐากล่าวว่าจะไม่ลดกำลังพลในส่วนของแพทย์และพยาบาล และเทคนิคการแพทย์ เนื่องจากโรงพยาบาลทหารทั่วประเทศทุกโรงพยาบาลบริการประชาชนประมาณ 70%-80% และแพทย์มีไม่เพียงพอ อย่างที่โรงพยาบาลประจักษ์ศิลปาคมมีหมอเพียง 19 คน มีจำนวนเตียงผู้ป่วย 200 เตียง แต่มีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก
ตนเองได้เข้าไปสอบถามจากประชาชนผู้มาเข้ารับบริการ พบว่าประชาชนทุกคนยืนยันว่า มีความสุขมาก และการไปครั้งนี้ตนไม่ได้กำหนดไว้ในแผน ทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส
สำหรับเรื่องรายได้ของบุคลากรทางการแพทย์ในกองทัพนั้น ตนเองก็มีข้อสงสัยว่าทำไมถึงมีรายได้ที่แตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นข้าราชการเมือนกัน ซึ่งก็มีการพูดคุยกับ ผบ.ทบ. เพื่อหาทางทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น
นอกจากนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ยังพบปัญหาการเบิกจ่ายในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่อีกมาก ซึ่งในเรื่องนี้จะมีการหารือกับ นพ. ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แต่ทั้งนี้นั้น โรงพยาบาลทหารอยู่เครือข่ายของโครงการอยู่แล้ว
ในปัจจุบัน 70% ของผู้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทหารเป็นพลเรือนทำหน้าที่ดูแลประชาชนอยู่แล้ว ประชาชนสามารถขอเข้ารับการรักษาด้วยสิทธิบัตรทองได้ แต่ปัญหาใหญ่อยู่ที่บุคลากรที่มีไม่เพียงพอ อีกทั้งโรงพยาบาลทหารก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเติบโต ทางเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนได้
นายเศรษฐาย้ำว่า การลดกำลังพลจะต้องไม่กระทบต่อโรงพยาบาลทหาร และบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพ