ซาอุดิอาระเบีย จ่อขึ้นราคาน้ำมันดิบ ที่ขายให้เอเชีย-ยุโรป ในเดือนเมษายน เหตุความต้องการเชื้อเพลิงเพิ่ม
Saudi Aramco บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่สัญชาติซาอุฯ ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันที่ขายให้กับกลุ่มผู้ซื้อในเอเชีย-ยุโรป ในเดือนเมษายนนี้ ท่ามกลางแนวโน้มความต้องการบริโภคน้ำมันในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น
Saudi Aramco เปิดเผยเมื่อวันที่ 5 มี.ค. ว่า จะปรับขึ้นราคาน้ำมันดิบเกรดเรือธง Arab Light งวดส่งมอบเดือน เม.ย. โดยปรับขึ้น 50 เซ็นต์สหรัฐฯต่อบาร์เรล (ราว 17.59 บาท) จากเดือน มี.ค. เป็น 2.50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล (ราว 87.94 บาท) เมื่อเทียบกับราคาพื้นฐานกลางของเอเชีย (Oman/Dubai average) ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเกรด Arab Heavy จะปรับขึ้น 2.50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากเดือน มี.ค.
ทั้งนี้ การปรับขึ้นราคาน้ำมันในครั้งนี้ นับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่บริษัทน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ปรับขึ้นราคาในตลาดใหญ่ที่สุดอย่างเอเชีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 60% ของการส่งออกน้ำมันทั้งหมด
Saudi Aramco ยังกล่าวด้วยว่าราคาน้ำมันดิบสำหรับลูกค้าในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนจะปรับขึ้นมากถึง 1.30 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล (ราว 45.73 บาท) ส่วนราคาสำหรับลูกค้าในสหรัฐฯ จะไม่เปลี่ยนแปลง
อามิน เอช. นาสเซอร์ ประธานและซีอีโอของ Saudi Aramco กล่าวกับสำนักข่าวบลูมเบิร์ก เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “อุปสงค์น้ำมันในจีนปรับตัวสูงขึ้นมาก ขณะที่อุปสงค์น้ำมันในยุโรป และสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในระดับสูง”
จากข้อมูลของทบวงการพลังงานระหว่างประเทศ (Internaitonal Energy Agency: IEA) ระบุว่า การบริโภคของจีนที่ฟื้นตัวหลังจากจีนเปิดประเทศอีกครั้ง จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเติบโตของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกในปีนี้ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 101.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน (bpd)
ในขณะเดียวกัน กลุ่ม OPEC+ ที่นำโดยซาอุดิอาระเบียและรัสเซีย ได้ยืนยันว่าจะไม่เพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันจนถึงปีหน้าเป็นอย่างน้อย ขณะที่รัสเซียเองก็ประกาศก่อนหน้านี้ว่า จะปรับลดการผลิตน้ำมันลงราว 500,000 บาร์เรลต่อวัน เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม เพื่อตอบโต้การกำหนดเพดานราคาน้ำมันรัสเซีย และการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก
(1 ดอลลาร์ = 35.19 บาท)
ที่มา: สำนักข่าวอาร์ที