
ประท้วงโค่นล้มรัฐบาล ชาวอิสราเอลนับหมื่นชุมนุมประท้วงต่อต้านสงคราม ไม่เชื่อว่ารัฐบาลจริงใจในการช่วยตัวประกัน เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้น 2 ปี
เมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2567 ประชาชนนับหมื่นคนรวมตัวกันประท้วงในกรุงเยรูซาเลม เรียกร้องให้รัฐบาลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเพื่อปล่อยตัวประกันหลายสิบคนยังคงถูกควบคุมตัวไว้ในฉนวนกาซา และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งเร็วขึ้น ซึ่งการประท้วงในครั้งนี้ ถือเป็นกระประท้วงครั้งที่ใหญ่ที่สุดของอิสราเอลนับตั้งแต่ที่อิสราเอลส่งกำลังเข้าบุกฉนวนกาซา
ทั้งนี้ นายเบนจามิน เนทันยาฮูกำลังเผชิญหน้ากับความล้มเหลวในการรักษาความมั่นคง จากการถูกกลุ่มฮามาสบุกโจมตีในพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสตาเอลเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2566 และรัฐบาลอิสราเอลตัดสินใจตอบโต้ด้วยกำลังจนทำให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสมแล้วถึง 32,782 รายโดยส่วนใหญ่เป็นเด็กและผู้หญิง
ถึงแม้ว่านายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลจะให้คำมั่นว่าจะทำลายกลุ่มฮามาสและนำตัวประกันกลับบ้าน แต่เป้าหมายดังกล่าวนั้นกลับเป็นไปได้ยาก แม้ว่ากลุ่มฮามาสจะประสบความสูญเสียอย่างหนัก แต่ก็ยังไม่เสียหาย
แม้ว่าจะมีความพยายามในการไกล่เกลี่ยโดยนานาชาติ เพื่อให้เกิดการหยุดยิง เพื่อการช่วยเหลือตัวประกัน แต่ความพยายามทั้งหลายครั้งนั้นกลับล้มเหลว จนทำให้ครอบครัวของตัวประกันหมดความอดทน
ผู้ประท้วงชาวอิสราเอลรายหนึ่งซึ่งมีญาติถูกจับเป็นตัวประกันระบุว่า นายเนทันยาฮูคืออุปสรรค เขาไม่มีความจริงใจในการนำตัวประกันกลับบ้าน เพราะว่าถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปแล้ว 6 เดือน แต่ภารกิจนี้ก็ยังล้มเหลว
ทั้งนี้มวลชนยังคงแผ่ขยายออกไปรอบ ๆ อาคารรัฐสภาอิสราเอล และผู้จัดงานให้คำมั่นว่าจะยังคงประท้วงต่อไป โดยเรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งก่อนกำหนด 2 ปี
ด้านนายเยียร์ ลาพิด ผู้นำพรรคฝ่ายค้านอิสราเอลกล่าววิพากษ์นายเนธันยาฮูอย่างรุนแรงกับผู้ชุมนุมว่า เนทันยาฮูจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลกับสหประชาชาติ และปล่อยให้ตัวประกันต้องเผชิญหน้ากับชะตากรรมของตนเอง นายลาพิดกล่าวว่า นายเบนจามินนั้น “ทำทุกอย่างเพื่อการเมือง แต่ไม่ใช่เพื่อประเทศ”
ด้านนายเนทันยาฮู ออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ว่าเขากำลังจะเข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน และระบุว่าเขาเข้าใจความเจ็บปวดของผู้ชุมนุม แต่หากจัดให้มีการเลือกตั้งในช่วงเวลานี้ ก็จะทำให้รัฐบาลเป็นอัมพาตไป 6-8 เดือน และทำให้การเจรจาของตัวประกันเป็นอัมพาต
นายเนทันยาฮูยืนยันว่าจะยังคงโจมตีเมืองราฟาห์ ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของกาซาต่อไป โดยยืนยันว่าการเข้ายึดครองเมืองนี้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด และสหรัฐฯ จะไม่ขัดขวางเขาในการโจมตีครั้งนี้ เนื่องจากกองทัพฮามาสยังอยู่ที่นั่น