ไฟดับเวียดนาม
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศแถบเอเชียจำนวนมากได้มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจ โดยในภูมิภาคอาเซียน หนึ่งในประเทศทถูกจับตามองก็คือประเทศเวียดนาม จนคนไทยจำนวนหนึ่งมีการแสดงความเห็นถึงขนาดว่า “เวียดนามจะแซงไทย” เลยทีเดียว
ปัจจุบันเวียดนามสามารถดึงดูดการลงทุนจากบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ได้หลากหลาย ซึ่งได้มาการเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ เช่น Foxconn, Intel, Microsoft, Panasonic, LG และอุตสาหกรรมอื่น ๆ เช่น Nike, Adidas, หรือ Nestlé เป็นต้น
ซึ่งหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เวียดนามมีความน่าลงทุนก็คือความคุ้มค่าของต้นทุนการผลิตที่มีราคาถูก โดยเฉพาะค่าแรง และรวมไปถึงอีกปัจจัย นั่นก็คือ ค่าไฟ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม จากข่าวล่าสุดในช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พื้นที่ในบริเวณตอนเหนือของเวียดนามและตัวเมืองฮานอยประสบเหตุไฟดับเป็นวงกว้าง บางบริเวณกินเวลายาวนานถึง 9 ชั่วโมง ตั้งแต่เวลาสิบโมงเช้าจนถึงหนึ่งทุ่ม
ปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางพลังงานนั้น ถือเป็นหนึ่งในปัจจัยที่เวียดนามกำลังเผชิญ ด้วยความที่ไฟฟ้าคือตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังเข้าสู่การแข่งขันระหว่างตลาดเกิดใหม่ (emerging market) ทั้งหลาย
เมื่อเปรียบเทียบกับไทย ที่เหตุการณ์ไฟดับขนาดใหญ่เช่นที่เกิดขึ้นในเวียดนามนั้นถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว
ไทยมีความพยายามในการสร้างความหลากหลาย (diversify) ของแหล่งพลังงาน ซึ่งมีทั้งก๊าซธรรมชาติ (50%), ถ่านหิน (20%) และ น้ำ (14%) ทั้งนำเข้าและผลิตภายใน รวมไปถึงความพยายามในหันไปพึ่งพาพลังงานสะอาด ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยก็มีสัดส่วนเกือบ 10% ซึ่งก็กำลังผลักดันให้เพิ่มขึ้นเพื่อความยั่งยืนและเพื่อสิ่งแวดล้อม
แต่เวียดนามยังเป็นประเทศที่มีสัดส่วนแหล่งพลังงานกว่าครึ่งหนึ่งที่พึ่งพาถ่านหิน ซึ่งทั่วโลกกำลังรณรงค์ให้ลดเนื่องจากปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และในปัจจุบันถ่านหินก็มีราคาแพงขึ้น ในขณะที่โรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวนมากก็มีอายุการใช้งานที่นานแล้ว และอีกประมาณ 25% นั้นเป็นพลังงานน้ำ ซึ่งก็ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่แห้งแล้ง และอุปสรรคจากประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศต้นน้ำ ที่มีการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำจำนวนมาก ส่วนพลังงานสะอาดของเวียดนามนั้นยังอยู่ที่แค่ 5% เท่านั้น
ความไม่มั่นคงทางพลังงานของเวียดนาม ที่สะท้อนออกมาเป็นเหตุการณ์ไฟดับในช่วงล่าสุดนี้ ประกอบกับปัจจัยด้านการเงินและการเมือง รวมไปถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่มากพอ จึงเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจ เพื่อการวิเคราะห์เปรียบเทียบกับไทยได้อย่างตรงตามข้อเท็จจริง