สภาพัฒน์ ขอให้พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว รักษาทิศทางการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ และรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ
วันนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จัดแถลงข่าวรายงานผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (QGDP) ไตรมาสที่ 1/2566 โดยนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช. เป็นผู้รายงาน
ในภาพรวม เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 2.7 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 1.4 ในไตรมาสก่อนหน้า (%YoY) และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัวจากไตรมาสที่สี่ของปี 2565 ร้อยละ 1.9 (QoQ_SA)
สำหรับแนวโน้ม เศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.7 – 3.7 โดยมีปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญจาก
(1) การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
(2) การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ
(3) การขยายตัวของการลงทุนทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ
ทั้งนี้ คาดว่าการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวร้อยละ 3.7 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐขยายตัวร้อยละ 1.9 และร้อยละ 2.7 ตามลำดับ และมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์ สรอ. ลดลงร้อยละ 1.6 อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วงร้อยละ 2.5 – 3.5 และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 1.4 ของ GDP
ด้านประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในช่วงที่เหลือของปี 2566 ควรให้ความสำคัญกับ
(1) การขับเคลื่อนภาคการส่งออกสินค้า
(2) การส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน
(3) การสนับสนุนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและบริการเกี่ยวเนื่อง
(4) การดูแลการผลิตภาคเกษตรและรายได้เกษตรกร
(5) การรักษาบรรยากาศทางเศรษฐกิจและการเมืองภายในประเทศในช่วงหลังการเลือกตั้ง
ภายหลังการบรรยาย ผู้สื่อข่าวได้ขอให้คุณดนุชาช่วยประเมินการจับขั้วรัฐบาล ที่อาจจะมีความล่าช้าว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างไร ซึ่งคุณดนุชาได้ตอบว่า ที่ประเมินไว้ว่างบประมาณปี 67 จะออกประมาณไตรมาส 1 ของปีหน้า เป็นการประเมินจาก Worst Case Scenario แล้ว แต่ถ้าถามว่าจะจับขั้วกันอย่างไร ผมเป็นเพียงนักวิชาการ สภาพัฒน์คงไม่ไปช่วยใครจับขั้ว แต่ว่าอันนี้ก็ขึ้นอยู่กับฝั่งการเมืองที่จะมีการพูดคุยกัน
ประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้คือ ก็คงต้องให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่เกิดปัญหาเพื่อที่จะให้เศรษฐกิจไทยเดินต่อได้ เพราะขณะนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการตกลงกันในเรื่องของอุตสาหกรรมใหม่ มีนักลงทุนที่รอความชัดเจนอยู่ ถ้ามีความชัดเจนได้เร็วเท่าไร ก็สามารถพูดคุยกับนักลงทุน แล้วนำนักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้มากขึ้น
โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมหลัก ๆ ที่เราต้องการที่จะเป็นตัวปรับโครงสร้างการผลิตของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ EV แบตเตอรี่ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมชิป โดยเฉพาะชิปต้อนน้ำ และชิปที่จะใช้กับอุตสาหกรรม EV เพราะว่าเป็นเรื่องจำเป็นในอนาคต
ถ้าเราชัดเจนได้เร็วเท่าไร ก็จะสามารถมีการพูดคุย แล้วก็ดึงดูดเข้ามาได้เร็วเท่านั้น ซึ่งจะช่วยให้การปรับโครงสร้างของเราทำได้เร็วขึ้น
ผู้สื่อข่าวอีกท่านหนึ่งได้ตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องกับทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ ซึ่งคุณดนุชาตอบว่าเป็นเรื่องของฝ่ายการเมือง ไม่สามารถประเมินได้ แต่เชื่อว่าทุกท่านมีความสามารถทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวอีกท่านตั้งคำถามเกี่ยวกับนโยบายของพรรคที่ได้มีการหาเสียงเอาไว้ คุณดนาตอบว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤติมา 2 วิกฤติ ในช่วงนั้นได้มีการใช้มาตรการทางด้านการเงินการคลังอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะทำให้ประเทศไทยรอดพ้นจากวิกฤติ เดินหน้า ขยายตัวได้ และขณะนี้เราผ่านวิกฤตินี้มาแล้ว
ดังนั้น นโยบายการเงินการคลังในช่วงผลัดใบจะต้องปรับเข้ามาสู่ระดับปกติ มุ่งที่จะรักษาวินัยการเงินการคลังของประเทศ การพิจารณานโยบายต่าง ๆ ขอให้พิจารณาในแง่ของวินัยการเงินการคลังอย่างเคร่งครัด เพราะว่าตัวนี้จะเป็นตัวสำคัญที่ต่างประเทศจะเข้ามาประเมินศักยภาพเศรษฐกิจไทย และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจไทยในช่วงผลัดใบ ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ