
ต่อยอดผ้าไหมไทย รมช.เกษตร ชี้ผ้าไหมไทยนั้นมีศักยภาพสูง อยากเห็นการพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัย
15 พ.ย. 66 นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบนโยบายและแนวทางขับเคลื่อนงานนโยบายที่สำคัญของกรมหม่อนไหม และพิธีเปิดการสัมมนาโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานโครงการ และการขับเคลื่อนงานนโยบายที่สำคัญของกรมหม่อนไหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีงบประมาณ 2567
นายไชยากล่าวว่า กรมหม่อนไหมมีความสำคัญอย่างยิ่งจากการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง อีกทั้งกิจการหม่อนไหมได้รับการพัฒนามาตั้งแต่ในอดีต และในปัจจุบันกรมหม่อนไหมก็เข้ามามีบทบาท เป็นจุดเริ่มต้น เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องผ้าโดยเฉพาะ แต่ที่ผ่านมาถูกแย่งซีนไป
นายไชยากล่าวว่าปัจจุบันนี้คนไม่นิยมใส่ผ้าไหม ด้วยเหตุผล 3 ประการ
1 ใส่แล้วแก่ มีแต่คนแก่ที่ใส่
2 ใส่แล้วร้อน
3 รักษายาก ต้องซักแห้งอย่างเดียว
จึงเห็นว่าเราควรจะต้องต่อยอดใช้นวัตรกรรมและเทคโนโลยีมาพัฒนาเส้นไหม เพื่อแก้ไขปัญหาทั้ง 3 ประการเพื่อให้คนได้กลับมานิยมในผ้าไหม
“ผมมีความฝันอยากจะเห็นดีไซเนอร์ ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งเค้ามีความคิดสร้างสรรค์หัวครีเอทีฟในการคิดสิ่งใหม่ ๆ ในการที่จะประดิษฐ์ลายผ้าออกแบบ ตัดเย็บเสื้อผ้าให้เข้ากับยุคสมัยของความเปลี่ยนแปลงของบริบทในสังคม ผมอยากจะเห็นนางแบบในแคทวอลค์ในต่างประเทศที่ใช้ผ้าไหมที่เป็นผ้าในการเดินแบบ” นายไชยากล่าว
นายไชยากล่าวว่าขณะนี้ในหลายจังหวัดมีคนรุ่นใหม่ที่ทำตามที่เขาได้กล่าวไว้ไปบ้างแล้ว และตนเองอยากจะเห็นสิ่งเหล่านี้เติบโตมากยิ่งขึ้นทั้งในสายตาของคนไทยและคนต่างชาติ
“นี่คือ Soft Power เป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ในการที่จะหยิบเอาความเป็นเอกลักษณ์ มีอัตลักษณ์ ความงดงามของผ้าไหม ความงดงามของลายผ้า” นายไชยากล่าว
นายไชยากล่าวว่าตนเองได้มีโอกาสไปเยี่ยมมาแล้วหลายจังหวัด พบว่าบางศูนย์หม่อนไหมทำเอาไว้ได้ดี มีความโดดเด่น ควรต้องต่อยอดพัฒนาให้เป็น SME Stary Up นำไปสู่ภาคอุตสาหกรรม การผลิตในเชิงพาณิชย์มากขึ้น
“ผมไม่อยากเห็นผ้าไหมเอาไว้สำหรับงานอีเวนต์ เวลาแขกบ้านแขกเมืองมา เวลารัฐมนตรีมา เวลาผู้ใหญ่ไป แล้วเอาผ้าไหมมาโชว์ แล้วก็เอาผ้าไหมมาเป้นของฝากอย่างเดียว แล้วสุดท้ายไม่ได้ต่อยอดในเชิงธุรกิจ เพราะฉะนั้นผมคิดว่านี่คือโจทย์ที่ท้าทายของกรมหม่อนไหม ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ ในการที่จะสนับสนุนให้การเติบโตของความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นภูมิปัญญาที่ถ่ายทอดออกมาบนผืนผ้าไหม เป็น Soft Power ที่เป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวในโลก” นายไชยากล่าว
นายไชยายังได้กล่าวถึงการเชื่อมโยงภูมิปัญญา ส่งถ่ายองค์ความรู้จากคนรุ่นเก่า สู่คนรุ่นใหม่ ผ่านการสร้างหลักสูตรระดับท้องถิ่น เพื่อยกระดับให้ท้องถิ่นเข้ามากำหนดทิศทางของการศึกษาระดับท้องถิ่น เพื่อการรักษาเอาไว้ซึ่งเอกลักษณ์และภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยยกตัวอย่างจังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งมีหลักสูตรการออกแบบลายผ้าด้วยระบบคอมพิวเตอร์ในระดับชั้นประถม โดยมีชาวบ้านเป็นผู้ถ่ายทอด ซึ่งเป็นแนวทางที่สมควรจะได้รับการขยายนำไปใช้ในพื้นที่อื่น