
กรมสมเด็จพระเทพฯ กับจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างสายสัมพันธ์ ที่แนบแน่นระหว่าง “ไทย-จีน”
เมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2562 ในโอกาสครบรอบ 70 ปีการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ทูลเกล้าถวายเหรียญมิตรภาพของสาธารณรัฐประชาชนจีน แด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ด้วยสำนึกในคุณูปการมหาศาลที่ทรงมีต่อการเสริมสร้างมิตรภาพระหว่างประเทศไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน [1]
อีกทั้งในโอกาสวันครบรอบ 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 2564 ทางการจีนได้มีการเผยแพร่พระราชประวัติของกรมสมเด็จพระเทพฯ ผ่านสื่อทางการของรัฐ เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติ และแสดงให้ถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างทั้ง 2 ประเทศอีกด้วย [2]
ความสัมพันธ์อันดีนี้ นำมาซึ่งประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างมหาศาล โดยมีตัวอย่างที่ชัดเจนคือในช่วงวิกฤตจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในระหว่างที่คนไทยทั้งประเทศกำลังตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่าเราจะเอาวัคซีนจากไหนมาฉีดให้แก่ประชาชน
รัฐบาลจีน น้อมเกล้าฯ ถวายวัคซีนชิโนฟาร์ม จำนวน 2 แสนโดส แด่กรมสมเด็จพระเทพฯ เพื่อใช้ในการฉีดสร้างภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือเชื้อโควิด-19 [3] ในขณะที่รัฐบาลไทยได้รับวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันทุกประเภท ทั้งแบบเชื้อตาย, ไวรัลเว็คเตอร์ และ mRNA ทำให้ทางการไทยสามารถพัฒนาสูตรไขว้ มีผลงานที่เป็นที่ยอมรับขององค์กรอนามัยโลก
อีกทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของไทย ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น ก็ได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากจีนเป็นอย่างดี มีเอกชนจีนมากมายเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งนี่เป็นผลพลอยได้ส่วนหนึ่ง ที่มาจากสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างไทยและจีน
—
ทุกเหตุการณ์ความยิ่งใหญ่ ล้วนแต่มีจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ความสัมพันธ์อันยิ่งใหญ่และแนบแน่นระหว่างไทยกับจีนเองก็เช่นกัน ที่เริ่มต้นจากการเปลี่ยนพระทัยเล็ก ๆ ของกรมสมเด็จพระเทพฯ ใน พ.ศ. 2523 โดยทรงตัดสินพระทัยเปลี่ยนจากการเรียนภาษาเยอรมัน มาเรียนภาษาจีนแทน [4]
ในปี พ.ศ. 2523 จีนแผ่นดินใหญ่ ยังเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่ยากจน แนวคิดในการปฎิรูปเศรษฐกิจจีนของนายเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำประเทศผู้ยิ่งใหญ่ของจีนเพิ่งจะเริ่มต้นได้เพียง 2 ปี อีกทั้งภาพลักษณ์ของประเทศจีนในเวลานั้นในสายตาคนไทยและชาวโลก ไม่ได้ดีเหมือนในทุกวันนี้
ซึ่งทั้งหมดมาจากสงครามเย็น การแบ่งขั้วกันระหว่างโลกเสรีนิยม กับโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งในเวลานั้นยังไม่สิ้นสุด อีกทั้งภาพการปฏิวัติวัฒนธรรมที่โหดร้ายทารุณ ซึ่งในปีนั้นเพิ่งจะจบลงไปได้ไม่นาน ที่ทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศจีนในเวลานั้น “แย่มาก”
แต่ด้วยพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลของกรมสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งในปีนั้น ทรงมีพระชนมายุเพียง 25 พรรษา กลับทรงเลือกเรียนภาษาจีน แทนภาษาเยอรมัน ภายใต้พระบรมราชินูปถัมภ์จากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงอย่างแข็งขัน [5]
ทั้งนี้ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชทานสัมภาษณ์ว่า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เคยมีพระราชดำรัสว่า “ชาวจีนเป็นผู้ที่ชอบหนังสือ ชอบวิชาการ ฉะนั้นการรู้ภาษาจีนทำให้มีโอกาสมีความรู้ใหม่ๆ” [5] ซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระวิสัยทัศน์อันยาวไกลของทั้ง 2 พระองค์ ที่ทรงเล็งเห็นถึงคุณค่าของทรัพยากรมนุษย์ และศักยภาพของคนจีนที่รอวันฟื้นตื่นขึ้นมา
แต่ถึงกระนั้น การศึกษาภาษีจีนของพระองค์ก็มิได้เป็นไปโดยง่าย เนื่องด้วยทรงมีพระราชภารกิจ ในฐานะสยามบรมราชกุมารี (พระอิสริยยศในเวลานั้น) มาก ทำให้การศึกษามิได้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง และยังทรงเรียนบ้างหยุดบ้าง ทรงศึกษาภาษาจีนเพียงสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง คือช่วงเวลา 9 – 12 นาฬิกาของวันเสาร์เท่านั้น
แต่ด้วยพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ จึงทรงศึกษาภาษาจีนได้อย่างแตกฉาน สามารถตรัสและทรงพระนิพนธ์ภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว อีกทั้งยังสนพระทัยในวัฒนธรรมของจีน ทรงเสด็จเดินทางไปยังมณฑลต่าง ๆ ของจีนจนครบ และมากถึง 50 ครั้ง [2]
ทรงสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศจีนตั้งแต่ระดับผู้นำประเทศ ลงไปจนถึงระดับรากหญ้าประชาชน แล้วด้วยความที่ทรงแตกฉานในภาษาจีน จึงทรงสื่อสารถึงน้ำพระทัยอันกว้างขวางของพระองค์สู่ประชาชนชาวจีนได้โดยตรง
อีกทั้งเมื่อครั้งที่นครฌฉิงตู มณฑลเสฉวน เผชิญภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อซ่อมแซมอาคารเรียน ให้แก่โรงเรียนประถมศึกษาเหมียนหยางเซียนเฟิงลู่ สิรินธร โดยทรงปรับโฉมของอาคารเรียนใหม่ ให้ดียิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ทั้งพื้นที่การใช้สอย อุปกรณ์การเรียนการสอน และคุณภาพชีวิตของเด็กนักเรียน [6]
—
ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง แนบแน่นระหว่างกรมสมเด็จพระเทพ ฯ กับจีน ถือได้ว่าเป็นบทบาทหนึ่งที่มีความสำคัญกับการดำเนินยุทธศาสตร์ทางการทูตของประเทศไทยอย่างยิ่งยวด ประกอบกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับชาติตะวันตก
โดยทรงจบการศึกษาจากราชวิทยาลัยการทหารดันทรูน และเป็นสหายของพลเอกเดวิด เฮอร์ลีย์ ผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย [7] ในขณะที่รัฐบาลไทย ทุกรัฐบาลต่างก็มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา
ทำให้เกิดการประสานงานทางการทูตระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์ กับรัฐบาลไทย ในการสร้างสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างขั้วมหาอำนาจต่าง ๆ ในโลก ซึ่งทั้งหมดนี้ ต่างมีวัตถุประสงค์ร่วมดุจเดียวกัน คือการรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพื่อประโยชน์ และความผาสุกของคนไทยทุกคน
อ้างอิง
[1] จีนถ่ายทอดสด พิธีทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญมิตรภาพแด่ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ, https://mgronline.com/china/detail/9620000093725
[2] 100 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน สื่อจีนเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, https://mgronline.com/china/detail/9640000063513
[3] รัฐบาลจีนถวายวัคซีนซิโนฟาร์ม 2 แสนโดสแด่ราชวงค์ไทย, https://www.facebook.com/ChineseEmbassyinBangkok/posts/4662647927115309/
[4] กองงานในพระองค์ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี, http://sirindhorn.net/hrh_new/s1_7_6.php
[5] กรมสมเด็จพระเทพฯ ผู้ทรงเป็นองค์อุปถัมภ์สัมพันธ์มิตรภาพจีน-ไทย, https://www.facebook.com/MahaChakriSirindhorn/posts/382434539923902/?locale=ms_MY&paipv=0&eav=AfbEqXaIXGRq_UH9lMmOhAn7kvM2z–2pObNo-qKK0P_NuovbY6sCKFkL03dSf4oKC4&_rdr
[6] ร.ร.เหมียนหยางเซียนเฟิงลู่สิรินธรหนึ่งน้ำใจมิตรแท้สู่แดนมังกร, https://www.komchadluek.net/news/77324
[7] ต้อนรับผู้นำออสเตรเลีย นายกรัฐมนตรีต้อนรับผู้สำเร็จราชการแห่งเครือรัฐออสเตรเลีย ย้ำความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างกัน, https://www.facebook.com/thestructure.live/posts/pfbid02pw2i9W6mu9L3UJXDb4YsUeVWHfYvCwPK7JFkMVg9RKUg8kxu7VsQWnHqHYCrjPhul