NewsHere We Go (70) ย้อนอดีตกรณี “กบฎ ITV” ที่มาของกฎหมายห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อ สะท้อนปัญหาใต้ภูเขาน้ำแข็ง ของกรณีน้องหยก ที่มาจาก “ความต้องการเอาชนะทางการเมืองแบบไม่สนใจใคร”

Here We Go (70) ย้อนอดีตกรณี “กบฎ ITV” ที่มาของกฎหมายห้ามนักการเมืองถือหุ้นสื่อ สะท้อนปัญหาใต้ภูเขาน้ำแข็ง ของกรณีน้องหยก ที่มาจาก “ความต้องการเอาชนะทางการเมืองแบบไม่สนใจใคร”

มีข่าวที่น่าดีใจสำหรับประเทศไทยข่าวแรกคือ ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเมื่อเดือนพฤษภาคมอยู่ในระดับที่สูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2562 เป็นต้นมา 

 

สาเหตุมาจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง นักท่องเที่ยวจากจีน ประเทศเพื่อนบ้านและยุโรปยังคงมาไทยเพิ่มขึ้น ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวขยายตัว 

 

สอดคล้องกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในทิศทางที่ฟื้นตัวจากกิจกรรมภาคบริการและภาคการท่องเที่ยว ข้อมูลที่ทั้งสองหน่วยงานนำมาสรุปนี้จากเมื่อสิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 

 

———-

 

ส่วนข่าวที่ยังไม่แน่นอนคือการถือครองหุ้น ITV ของคุณพิธายังคงถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย กว้างขวางออกไปทุกที นับตั้งแต่ประเด็นที่ว่าถือหุ้นหรือไม่ถือหุ้น ถือมากหรือถือนิดหน่อยไม่มีผลต่อบริษัท ตั้งใจถือหรือไม่ตั้งใจถือ ประเด็น ITV ยังเปิดหรือปิดกิจการไปแล้ว ยังทำสื่อหรือเลิกทำสื่อไปแล้ว จนกลายเป็นวิวาทะระหว่างกลุ่มคนที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนคุณพิธา 

 

ลุกลามไปถึงขณะนี้มีลักษณะของการปลุกระดมเตรียมพลจัดม็อบพร้อมจะลงถนนกันแล้ว มีการสร้างวาทกรรมแบ่งขั้วการเมืองกันแล้ว “ฟื้นคืนชีพ ITV” หรือ “นิติสงคราม” หรือ “รัฐบาลของประชาชน” เร่งอารมณ์ทำให้เกิดความรู้สึกของการที่ฝ่ายหนึ่งถูกรังแกจากอีกฝ่ายหนึ่งที่มีอำนาจในมือ ทำให้เห็นว่าควรต้องมีการใช้กำลังมวลชนเข้ามาปกป้องกลุ่มคนที่ประชาชนเลือกขึ้นมา 

 

ข้อถกเถียงกันทั้งหมดที่ว่ามามองว่าล้วนแต่เป็นเรื่องกระพี้ทั้งนั้น

 

มีการสื่อสารน้อยมากที่จะพูดถึงแก่นของเรื่องที่ว่าทำไมรัฐธรรมนูญถึงบัญญัติห้ามนักการเมืองมีหุ้นในองค์กรสื่อซึ่งกำหนดมาตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 50 อยู่แล้ว และมาเพิ่มเติมถ้อยคำให้เข้มข้นมากขึ้น เพราะมองแล้วว่าผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองอาจใช้ความเป็นเจ้าของหรือความเป็นผู้ถือหุ้น ใช้สื่อเพื่อการหาเสียงสนับสนุนตนเอง หรือให้ร้ายผู้อื่นหรือใช้อำนาจอิทธิพลขัดขวาง แทรกแซง แสวงหาประโยชน์ใดๆ จากสื่อนั้นๆ 

 

ทางหนึ่งก็เพื่อเป็นหลักประกันเสรีภาพของสื่อ ทางหนึ่งก็เพื่อสร้างความเป็นธรรมต่อผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วยกันเอง 

 

ที่มาของเรื่องนี้ก็เกิดมาจาก ITV นั่นแหละ ที่ตอนนั้นถูกคุณทักษิณเข้าไปถือหุ้นใหญ่และห้ามไม่ให้เสนอข่าวโจมตีพรรคไทยรักไทยและคุณทักษิณ ทำให้คนทำงานสื่อใน ITV ไม่พอใจเกิดเป็นกลุ่ม “กบฏ ITV” กลายเป็นคดีฟ้องร้องกัน จึงเป็นที่มาของเจตนารมณ์ในการบัญญัติข้อห้ามนี้ไว้ในรัฐธรรมนูญ  

 

มาถึงตอนนี้หุ้นใน ITV กำลังจะคืนชีพมาเป็นประเด็นการเมืองอีกครั้งสำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษาหรือเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา

 

———-

 

ที่ผ่านๆ มาพรรคการเมืองหรือนักการเมืองต่างรู้ดีว่าการเข้าไปไม่ถึงสื่อหรือการไม่มีสื่ออยู่ในมือนอกจากจะไม่สามารถสื่อสารเรื่องราวการทำงานของตนเอง ของพรรคให้ประชาชนได้รับรู้แล้ว ยังจะไม่มีช่องทางที่จะแก้ข่าวที่ถูกโจมตีให้ร้ายจากฝ่ายต่างขั้วอีกด้วย 

 

ขณะที่อีกฝ่ายสามารถที่จะสร้างเนื้อหาข้อมูลให้ประชาชนได้รู้ได้เห็นเท่าที่อยากให้ได้รู้ได้เห็น ไม่ต่างอะไรจากการครอบงำความคิดความอ่านของคนในสังคม ในท้ายที่สุดพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่ไม่มีสื่อในมือมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบพ่ายแพ้ทางการเมือง

 

ฟังดูคุ้นๆ กับสมัยนี้หรือไม่ บางกลุ่มการเมืองไม่จำเป็นต้องถือหุ้นสื่อแบบเดิมๆ อีกแล้ว หันมาสร้างเพจ สร้างเว็บไซต์ สร้างตัวตนบนแพลตฟอร์มต่างๆ บนโซเชียลมีเดีย 

 

หาคนดังมาเป็นสร้างแรงจูงใจ ปั่นกระแส สร้างเนื้อหาให้ถูกใจจะถูกต้องหรือบิดเบือนไม่ต้องสนใจ เพื่อครอบงำความคิด เปลี่ยนพฤติกรรมกลุ่มคนได้ แต่ละคนที่ติดตามเพจ นั้นๆ จะรู้สึกถึงการมีส่วนร่วม มีตัวตน รู้สึกถึงความเป็นเจ้าของทั้งที่ไม่มีหุ้นให้ถือครอง รู้สึกถึงความเป็นกลุ่มพวกพ้องเดียวกัน กลายมาเป็นช่องทางสร้างความได้เปรียบทางการเมือง 

 

ลักษณะแบบนี้ไม่มีเขตพื้นที่เป็นข้อจำกัด ไม่มีเวลาเป็นอุปสรรค สามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา ไม่มีกฎหมายควบคุม ไม่มีองค์กรคอยตรวจสอบดูแล อำนาจรัฐเข้าไม่ถึงสั่งให้ปิดให้ยุติการกระทำไม่ได้ น่ากลัวกว่าการเข้าถือหุ้นสื่อแบบเก่าเสียอีก 

 

เป็นห่วงอนาคตของชาติที่อาจตกอยู่ภายใต้การครอบงำของสื่อสมัยใหม่แบบไม่รู้เท่าทัน

 

———-

 

อยากให้ทุกฝ่ายถอยกลับมาคิดถึงแก่นหลักการสำคัญของ กฎหมายที่กำหนดห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของหรือถือครองหุ้นสื่อ จะได้ไม่ต้องมานั่งถกเถียงในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญ ยิ่งเถียงกันมากเท่าไร ความขัดแย้งยิ่งขยายมากเท่านั้น ความขัดแย้งยิ่งมากเท่าไร 

 

การแสดงออกเชิงกำลังของแต่ละฝ่ายยิ่งมากเท่านั้น ความกังวลต่อความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองยิ่งมากขึ้น คนในประเทศยังกังวล แล้วคนต่างประเทศทั้งนักลงทุน นักท่องเที่ยวน่าจะกลัวมากกว่า ไม่อยากเข้ามาประเทศไทย ข่าวที่น่าดีใจที่ไทยกำลังฟื้นตัวจากเศรษฐกิจอาจเป็นเพียงชั่ววูบเดียว ถ้าไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นคงต้องช่วยกันตั้งหลักพิจารณาความให้ถ่องแท้  

 

———-

 

อาทิตย์นี้ขอปิดท้ายด้วยข่าวที่น่าหดหู่ใจคือเรื่องของน้องหยก เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ชีวิตของเธอกำลังทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง ทุกข์ที่ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการเรียนเพื่อสร้างอนาคตให้ตัวเอง กำลังหมดหนทางที่จะไปต่อ ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้เหมือนเพื่อนๆ วัยเดียวกัน 

 

มีครอบครัวก็เหมือนไม่มีครอบครัว ความรักความอบอุ่นกับครอบครัวหายไปอย่างน่าเสียดาย ถ้าสังเกตดูดีๆวันที่เธออยากไปโรงเรียน ทั้งที่ไม่ได้พาผู้ปกครองไปรายงานตัวตามระเบียบ ไม่ใส่เครื่องแบบนักเรียน เลือกแต่งตัวตามสบาย พยายามปีนประตูปีนหน้าต่าง 

 

ชีวิตเธอถูกห้อม ล้อมด้วยเพื่อนไม่กี่คนที่ถือโทรศัพท์มือถือถ่ายภาพทุกอริยาบทของเธอเพื่อลงโซเชียล เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ แสดงการท้าทายขนบประเพณี เลิกสนใจวัฒนธรรมอันงดงามของเด็กไทย แล้วมีคนแก่ๆ อีกหลายคน คอยโพสต์ในโซเชียลให้กำลังใจเธอ ชี้นำส่งเสริมการกระทำของเธอ เลยไปไกลถึงยุยงส่งเสริมให้เด็กคนอื่นๆ เลือกทำวิธีเดียวกับหยกบ้าง

 

ชีวิตของหยกพลิกผันเปลี่ยนแปลง เหมือนถูกรุ่นพี่และผู้ใหญ่บางคนเลือกหยิบเธอขึ้นมาสร้างตัวตนของเธอเสียใหม่ ก้าวร้าว เอาแต่ใจ หยาบคาย ไม่เคารพกฎระเบียบของสังคม วัฒนธรรมประเพณีดั้งเดิมกลายเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ ถ่วงดึงความเจริญ เป็นอุปสรรคการใช้ชีวิตในวัยของเธอ 

 

ทำให้หยกเปลี่ยนไปกลายเป็นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่แม้แต่ครอบครัวของเธอยังไม่เคยรู้จักมาก่อน 

 

ทุกวันนี้แทนที่เหล่าผู้ใหญ่ทั้งหลายจะช่วยชี้ทางให้หยกเดินในทางที่เหมาะแก่วัย เหมาะแก่ชีวิตที่อีกยาวไกลของเธอ กลับตำหนิติเตียนครู ตำหนิระบบโรงเรียน มองคนผิดคือคนที่อยู่ตรงข้ามกับหยก 

 

แต่ไม่ทำให้หยกและสังคมมองเห็นว่า ชีวิตของมนุษย์ทุกชาติทุกเผ่าพันธุ์ล้วนต้องอยู่บนพื้นฐานกฎของสังคมที่เหมาะสมกับชาตินั้นๆ กฎของสังคมที่ถูกพัฒนาปรับตัวมาจากประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยม จนเป็นสิ่งที่คนเคารพ ถือปฏิบัติ หากปฏิบัติผิดเพี้ยนไปก็ชอบที่ผู้รักษากฎนั้นจะว่ากล่าวตักเตือน เปิดโอกาสให้ปรับปรุงตัว 

 

ขณะที่ผู้ละเมิดกฎก็ชอบที่จะวางใจให้เป็นกลาง ชี้แจง ขอคำอธิบาย และเมื่อสังคมส่วนใหญ่ยังปฏิบัติเช่นว่านั้น ก็ชอบที่จะแก้ไขตัวเอง และกลับสู่การใช้ชีวิตร่วมกับสังคมอย่างมีความสุขและได้รับการยอมรับจากกันและกัน 

 

แต่ผู้ใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ หยกกลับพาเธอไปอีกทาง ไม่พูดตรงๆ แต่ก็เข้าใจในที่ว่า หยกทำถูกแล้ว เพื่อนๆ ที่คิดและทำเหมือนหยกหรือที่ส่งเสียงเชียร์หยก ก็ทำถูกแล้วเช่นกัน

 

———-

 

เคยไปคุยกับคนรุ่นใหม่ที่ไม่มีอคติ สนใจความเป็นไปของสังคมและการเมือง ใช้ชีวิตอยู่กับโทรศัพท์มือถือในวันๆ หนึ่งมากกว่า 90% ไปขอให้พวกเขาอธิบาย ก็เลยได้ความรู้มาว่า การเมืองนั่นแหละคือเหตุใหญ่ที่ทำให้สังคมไทยเป็นแบบนี้ 

 

เมื่ออยากชนะทางการเมืองก็ต้องทำทุกอย่างให้ถูกใจ voters นโยบายเป็นเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกกล่าวให้ถูกใจ แต่การแสดงออกของนักการเมือง และ influencers ของพรรคการเมืองในโลกโซเชียลมีเดียก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

 

พรรคการเมืองหนึ่งและคณะที่อยู่เบื้องหลังและอยู่เบื้องหน้า เห็นข้อสรุปว่า การแสดงออกและสร้าง contents อย่างดุดัน แหกคอก แตกต่าง หนักแน่น คือหนทางที่จะชนะใจ voters 

 

ผลที่เกิดขึ้นคือการสื่อสารที่แพร่กระจายไปในด้อมส้มอย่างกว้างขวาง ทุก contents มีเรื่องราวที่แสดงถึงความแตกต่างจากผู้มีอำนาจเดิม ข้อเสนอเป็นไปอย่างแหกคอกและดุดัน หนักแน่นในการเดินหน้าชนกับกำแพงที่ขวางกั้น 

 

การแสดงออกใน offline , online , on ground, การส่งผ่าน contents ส่งผลให้เกิดการทำซ้ำซึ่งไม่ใช่แค่การรับรู้ใน contents เท่านั้น  แต่เกิดการลอกเลียนพฤติกรรม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างมายด์ รุ้ง สายน้ำ หยก และอื่นๆ เกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง 

 

พฤติกรรมดูหมิ่นในหลวง ข้อเสนอยกเลิกมาตรา 112 ข่มขู่ด่าทอหยาบคายกับคนคิดต่าง คือการแหกคอกอย่างดุดันก้าวร้าว ถูกใจถูกจริต voters พรรคนั้นจึงชนะเลือกตั้งพร้อมๆ กับการได้สมาชิกใหม่ของสังคมไทยที่แหกคอก ดุดัน ก้าวร้าว เป็นล้านคน 

 

คนที่ไปนั่งคุยด้วยสรุปให้ฟังว่า คนที่อยู่เบื้องหลังทำเรื่องเหล่านี้ก็ตระหนักถึงอันตรายในภายภาคหน้าที่อาจต้องตามแก้ปัญหา ยิ่งหากต้องมีอำนาจบริหารประเทศ ความรับผิดชอบต่อความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นตามมา แล้วจะรับมือกับการแหกคอก ความดุดัน ก้าวร้าว ได้อย่างไร จะใช้วิธีการอย่างไรปฏิบัติกับคนของพวกเขาเอง 

 

นี่คือโจทย์ที่อาจนำไปสู่การแขวนคอตายของพวกเขากันเอง หรือมันอาจเลวร้ายถึงขั้นสังคมไทยต้องพังทลายเพราะสิ่งเหล่านี้ น่าห่วงจริงๆ ว่า ในที่สุดแล้วคนรุ่นเขานั่นแหละต้องรับกรรมกับการมีชีวิตในอนาคตในสังคมที่พังทลายไปหมดทั้งผู้คน และสถาบันสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า