Here We Go (66) เส้นทางจัดตั้งรัฐบาลของก้าวไกลและ #มีกรณ์ไม่มีกู บทเรียนสำคัญของพรรค กับการฟังกระแสของมวลชนที่สนับสนุน
ความจริง ณ วันนี้คือ คนไทยเรามีว่าที่ ส.ส. แล้ว คนไทยได้พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งเป็นพรรคอันดับ 1 ตัวเลขขณะนี้มี ส.ส. 152 คน คุณประยุทธ์ คุณประวิตร ยอมรับแล้วว่าได้ ส.ส.ไม่มากพอที่จะตั้งรัฐบาล ไม่ได้ส่งสัญญาณของการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย น่าจะค่อยๆ ถอยห่างจากการเมือง แต่คงไม่ถอยห่างจากปัญหาบ้านเมือง
การตั้งรัฐบาลในเวลานี้จึงมีพรรคก้าวไกลเป็นแกนหลักหรือเป็นผู้จัดการตั้งรัฐบาล แต่ต้องพูดว่าการตั้งรัฐบาลอยู่ในมือของพรรคเพื่อไทยที่มี ส.ส.เป็นอันดับสอง 141 คน ซึ่งห่างกันไม่มากนักด้วย ถ้าพรรคเพื่อไทยไม่เอาด้วย พรรคก้าวไกลก็ตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เสียงไม่พอเพราะไม่ยอมดึงพรรคอันดับ 3, 4, 5 มาร่วม ด้วยรังเกียจว่าเป็นเผด็จการและหาเสียงกับสังคมว่าจะไม่เอาพรรคเหล่านั้น
ถ้าผิดคำพูดก็จะเสียหาย เสียความนิยม เกมจัดตั้งรัฐบาลจึงเป็นรองพรรคเพื่อไทยอย่างไม่มีทางเลือก จะเสียงแข็ง ยืนหยัดนโยบาย หรือยอมกัดลิ้นกลืนเลือด ให้พรรคเพื่อไทยฉกชิงประโยชน์ทั้งตำแหน่งรัฐมนตรี กระทรวงสำคัญ ตำแหน่งประธานสภา และนโยบาย หรือจะยืนหยัดยอมหักไม่ยอมงอ เป็นฝ่ายค้าน พลิกเกมยอมไปสู้เพื่อเลือกตั้งสมัยหน้า อดเปรี้ยวไว้กินหวาน เป็นเรื่องที่ชวนให้ติดตามดู
มิอาจดูถูกดูแคลนพรรคก้าวไกลที่ใครมองว่าอ่อนด้อยทางการเมือง ไม่มีผู้จัดการรัฐบาลที่มีบารมี ช่ำชองงานการเมือง อ่านการเมืองขาดทะลุถึงแก่นกลางไส้ในของเหล่าเสือสิงห์กระทิงแรด ความหล่อ มาดเท่ ยิ้มสวย พูดเพราะ ฟังแล้วซาบซึ้งกินใจของคุณพิธา จะทำให้ต่อรอง ผ่อนสั้นผ่อนยาว หรือเกทับคนอย่างคุณทักษิณ ได้หรือ
ในวันนี้คุณพิธาสามารถทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่เชิญเข้าร่วมรัฐบาลยอมมานั่งประชุม ถ่ายรูป และทานข้าวได้สำเร็จแล้ว ถือว่าคืบหน้าไปหนึ่งขั้น งานนี้เซียนการเมืองบอกว่าไม่ใช่งานยากเท่าไรนัก คนที่เล่นการเมืองเป็นต้องมาทำกิจกรรมแบบนี้ทั้งสิ้น ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะได้แสดงออกถึงการยอมรับในหลักการประชาธิปไตย ขืนทำอย่างอื่นทัวร์จะลงเอา
งานยากสุดๆ ที่รออยู่ข้างหน้าคือการจัดทำ MOU กำหนดหลักการสำคัญ นโยบาย ของรัฐบาล มีคนวงในบอกว่าลำพังแค่เขียนข้อแรกว่ารัฐบาลนี้จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามมาตรา 50 ในรัฐธรรมนูญ ยังทำไม่ได้เลย
มิต้องพูดถึงนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 นโยบายปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิรูประบบงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ปฏิรูปกองทัพ ยกเลิกเกณฑ์ทหาร เลือกตั้งผู้ว่าทั่วประเทศ
หรือนโยบายต่างประเทศที่ก้าวไกลต้องตอบแทนสหรัฐ อียู ซึ่งเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้ก้าวไกลต่อสู้ทางการเมือง นี่ยังไม่รวมตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีเรื่องไหนที่ง่าย สามารถตกลงกันได้ในวันสองวัน
———-
วันนี้พรรคก้าวไกลเดินงานการเมืองสองเรื่องพร้อมกัน ทางหนึ่งเจรจาตั้งรัฐบาล อีกทางหนึ่งกดดันวุฒิสภาเพื่อให้ลงมติสนับสนุนคุณพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี คุกคาม ข่มขู่ ด่าทอหยาบคาย ทำเอา ส.ว. หัวหงอกหัวดำต้องออกมาตอบโต้บ้าง เปิดตัวจะลงมติสนับสนุนคุณพิธาบ้าง
ก็แสดงว่าคุณพิธาและพวกกลัวว่าจะไม่ได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. ซึ่งถึงขณะนี้แนวโน้มคงจะได้เสียงยากจริงๆ เพราะด่าเขาเสียขนาดนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้คุณพิธาจึงเจอกำแพงขวางกั้นถึงสองชั้นด้วยกัน พรรคเพื่อไทยคือกำแพงแรก จะผ่านไปได้อย่างไร และ ส.ว. เป็นกำแพงอีกชั้น
แต่แล้วเหตุการณ์ที่คุณพิธาไปเจรจากับพรรคชาติพัฒนากล้าเข้าร่วมรัฐบาลได้เสียงสนับสนุนเพิ่มมาอีก 2 เสียง พอความสำเร็จนี้เป็นข่าว ใครที่ติดตามทวิตเตอร์เมื่อคืนวันที่ 19 พฤษภาคม จะเห็นเหล่าด้อมของคุณพิธาและก้าวไกลโพสต์ต่อต้านตำหนิการไปดึงพรรคชาติพัฒนากล้ามาร่วมรัฐบาล เรียกว่ายกขบวนกันมาแบบถล่มทลาย # มีกรณ์ ไม่มีกู ขึ้นอันดับ 1
เล่นเอาคุณพิธาอยู่เฉยไม่ได้ ต้องประชุมพรรคเป็นการด่วนในคืนวันนั้น ตามมาด้วยแถลงการณ์ขอโทษและยกเลิกการนำชาติพัฒนากล้ามาเป็นรัฐบาล พร้อมสำนวนเท่ๆ ว่า พรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค
เหตุการณ์นี้ทำให้ด้อมทั้งหลายกลายเป็นกำแพงชั้นที่ 3 ที่พรรคก้าวไกลต้องเผชิญ แต่เรื่องนี้ให้บทเรียนสำคัญแก่สังคมไทยและคนไทยเช่นกัน เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่พรรคการเมืองมิอาจทำอะไรได้ตามใจชอบ หรือทำอะไรไปแล้วหรือแม้แต่ยังไม่ทำ ก็ต้องติดตามดูในโลกออนไลน์ว่าด้อมทั้งหลายเขาว่าอย่างไรกัน
ประเทศไทยจะมีรัฐบาลที่บริหารงานโดยต้องฟังด้อมทุกเรื่อง ถ้าไม่ทำตามที่สัญญากับด้อมไว้ ก็อย่าหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน อันนี้น่าสนใจมาก เพราะเริ่มมี #112 ไม่แก้ไม่มีกู คุณพิธาและก้าวไกลจะทำอย่างไรล่ะทีนี้ ถ้ายืนว่าจะแก้มาตรา 112 ก็จะเป็นปัญหากับพรรคที่จะมาร่วมรัฐบาลและ ส.ว. ถ้าจะไม่แก้ก็จะมีปัญหากับด้อม
คำพูดที่ว่าพรรคใหญ่กว่าคน ประชาชนใหญ่กว่าพรรค จะกลายเป็นเชือกผูกคอตัวเอง อยากหนักใจแทนคุณพิธา แต่คิดดูมากๆ แล้ว หนักใจแทนประเทศไทยมากกว่า
———-
ที่ตื่นเต้นติดตามผลการเลือกตั้งของไทยอย่างใกล้ชิดไม่ได้มีแต่คนในประเทศไทยเท่านั้น สื่อต่างประเทศโดยเฉพาะสื่อตะวันตกให้ความสนใจไม่แพ้กัน
ภายหลังที่พอทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ สื่อต่างประเทศชมว่าคณะกรรมการเลือกตั้งจัดการเลือกตั้งได้เรียบร้อยเป็นไปด้วยความโปร่งใส อาจเป็นเพราะคณะกรรมการเลือกตั้งนำองค์กร iLaw ที่เปรียบเสมือนตัวแทนขององค์กรต่างประเทศเข้ามาร่วมดูแลการเลือกตั้งสำหรับสร้างมาตรฐานแบบตะวันตก
ทำให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศไปด้วย คาดหวังต่อไปว่า iLaw คงส่งข่าวไปถึงผู้สนับสนุนงบประมาณในต่างประเทศให้ชะลอญัตติเกี่ยวกับการเลือกตั้งของไทย
ความห่วงกังวลเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองในที่สาธารณะและการบังคับใช้มาตรา 112 ที่สภาสูงของสหรัฐจะเสนอต่อสภาล่างเพื่อประกาศเป็นข้อมติของสภาคองเกรส คงจะไม่ต้องเดินต่อเนื่อง เพราะการจัดการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใสแล้ว หรือจะเดินหน้าออกข้อมติต่อสำหรับเน้นให้เกิดการแก้ไขมาตรา 112 คงต้องติดตามดูต่อไป
———-
คุณพิธากลายเป็นคนเนื้อหอมในทันทีที่ทุกสื่ออยากนำตัวไปนั่งสัมภาษณ์ถึงอนาคตของประเทศไทยจะไปทางไหนต่อ ได้เห็นแต่สื่อต่างชาติอย่าง CNN ที่ได้คิวสัมภาษณ์ก่อนสื่ออื่นๆ ซึ่งคุณพิธาตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว ได้กล่าวเน้นนโยบาย 3 ข้อสำคัญ คือลดอิทธิพลของทหาร ยุติการผูกขาด และเร่งกระจายอำนาจ
ส่วนคำถามว่าจะฝ่าด่าน ส.ว.ได้หรือไม่ คุณพิธาขอให้ ส.ว.ต้องตระหนักถึงพลังเสียงของประชาชนที่มาลงคะแนน ไม่เช่นนั้นอาจต้องจ่ายค่าชดเชยราคาแพงภายหลัง นั่นคือประเด็นที่ออกสื่อดังไปทั่วโลก พร้อมกับถูกนำมาตัดต่อกระจายผ่านทุกแพลทฟอร์มในสื่อโซเชียลอย่างรวดเร็วทันที
เหมือนกับจะฟ้องคนทั่วโลก ให้เข้าใจว่าอะไรคืออุปสรรคขวางเส้นทาง การเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของคุณพิธา การให้สัมภาษณ์ลักษณะนี้สะท้อนถึงภาวะ ตัวตนของว่าที่ผู้นำประเทศจะสามารถสร้างความร่วมมือจากคนในชาติได้มากน้อยแค่ไหนต้องตามดูกันต่อไปอีกนิด
สุดท้ายก็ต้องขอชื่นชมคุณประยุทธ์ด้วยใจ แม้จะแพ้ในสนามเลือกตั้ง แต่ไม่เคยออกมากล่าวโทษใคร ไม่ใช่เพิ่งทำแต่ทำมาตลอด ตอนหาเสียงก็ไม่เคยกล่าวโจมตีใคร ใครมาขอย้ายขั้วย้ายข้างไม่เคยขับไสด่าไล่หลัง ได้แต่บอกให้คนไทยรักกัน ทำงานทุกอย่างให้คนไทยทุกคน ให้ประเทศชาติเดินไปข้างหน้า
เป็นสุภาพบุรุษทางการเมืองอย่างแท้จริง มากกว่านักการเมืองอีกหลายคนที่พอย้ายข้างเปลี่ยนขั้วก็หันมาด่าทอรัฐบาลที่ตัวเองเคยร่วมอยู่มาตลอดแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นสุภาพบุรุษ และต้องขอขอบคุณในผลงานของรัฐบาลคุณประยุทธ์ที่ได้ทำนำพาประเทศมาได้ถึงจุดนี้จนเป็นที่ยอมรับจากต่างประเทศในหลายด้านด้วย