Newsถึงเวลาต้องสางปัญหาระบบราชการ การเมืองกับสื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลมากขึ้น และขบวนการปลุกปั่นล้มระบอบที่ย่ามใจ บนความเพิกเฉยของภาครัฐ

ถึงเวลาต้องสางปัญหาระบบราชการ การเมืองกับสื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลมากขึ้น และขบวนการปลุกปั่นล้มระบอบที่ย่ามใจ บนความเพิกเฉยของภาครัฐ

อยากจะพูดเรื่องนี้ก่อน อาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวเกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงสุดของหน่วยงานราชการบางหน่วย ให้รู้สึกสะท้อนสะเทือนใจ 

 

ด้วยเหตุที่รายแรกข้าราชการระดับอธิบดีเรียกเงินลูกน้อง เพื่อแลกกับการโยกย้ายหรือเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ข้าราชการระดับผู้น้อยต้องจ่ายเงินให้ระดับเจ้ากรม 

 

แค่นั้นยังไม่พอ ยังขอให้หน่วยงานระดับพื้นที่ตัดเปอร์เซ็นต์งบประมาณที่หน่วยได้รับส่งให้ท่านอธิบดีเพิ่มเติม เรียกว่ากินทั้งเงินหลวงเงินราษฎร์เพื่องานหลวงหมดทุกกรณีที่เป็นเงินเป็นทอง 

 

อธิบดีคนนี้เพิ่งย้ายมาอยู่กรมนี้ได้ปีเดียวเมื่อเดือนตุลาคม 2565 จะเกษียณอายุในเดือนตุลาคม ปี 2566 รีบทำเงินทำทอง ฟาดเงินหลวงและเงินของลูกน้องไปแล้วหลายล้านบาท ค้นได้ที่ห้องทำงานห้าล้าน แต่ทำไมไม่ตามไปค้นที่บ้านอีก อาจได้พบเป็นสิบๆ ล้านเหมือนปลัดกระทรวงคนหนึ่งที่ติดคุกมาแล้ว 

 

ที่สะเทือนใจมากก็คือ คนเป็นนายคนเรียกเงินลูกน้อง จิตใจทำด้วยอะไร จะเรียกว่าอะไรดี ชั่ว เลว น่ารังเกียจ สะเทือนใจมากขึ้นไปอีกที่กรมนี้ได้รับการประเมินเรื่องคุณธรรมความโปร่งใสในการดำเนินงาน ได้เกรด A ขณะที่การป้องกันทุจริตได้คะแนนเต็มร้อย 

 

หน่วยประเมินต้องทบทวนหลักเกณฑ์ใหม่แล้ว หรือข้าราชการคนอื่นดีหมด มีชั่วคนเดียวคืออธิบดี

 

———-
ปลัดคนดังกับกระแสสังคม
———-

ส่วนอีกราย ปลัดกระทรวงคนเก่งสมชื่อ ใช้ความเป็นปลัดกระทรวงและประธานการประชุมเล่นงานลูกน้องด้วยภาษาพ่อขุน เพิ่มด้วยสัตว์เลื้อยคลาน แถมดูถูกสถาบันการศึกษาของคนอื่นไปเสียอีก

 

มันทำให้สังคมเขาเชื่อมากยิ่งขึ้นว่ามหาดไทยเหมาะสำหรับคนจบจุฬาและธรรมศาสตร์เท่านั้นหรือไง พ่อเจ้าประคุณช่างมั่นใจความเก่งกาจของตัวเองเสียเหลือเกิน หน้าตา แววตา ท่าทาง ลีลา ภาษา สำนวนที่ปลัดใช้ มันสื่อให้เห็นว่าผู้ใช้นี่คือเจ้าคนนายคนตัวจริงเสียงจริง 

 

ปลัดออกมาขอโทษ มาชี้แจง ดูดี ดูฉลาด ได้ยินว่าเจ้าตัวชื่นชมในลีลาการอธิบายชี้แจงของตัวเองเสียเหลือเกิน ฉลาดล้ำ ถึงความทุ่มเททำงาน ตรงไปตรงมา ลูกทุ่ง คนบ้านนอก แถมโดนเมียและลูกด่าอีกต่างหาก เล่ามาให้เสร็จ จะได้เข้าใจ เห็นใจ สงสาร และให้อภัย 

 

ไม่รู้ว่ามีใครให้อภัยมากน้อยเพียงใด แต่เห็นว่ามีเพื่อนและรุ่นน้องสิงห์ดำช่วยกันเขียนมุมดีๆ ออกมาหลายเวอร์ชั่นด้วยกันเพื่อกลบมุมที่ถูกด่า ประมาณว่าสร้างภาพใหม่อีกมุมให้สังคมเห็น 

 

ขอบอกว่าไม่เคยรู้จักปลัดคนนี้ส่วนตัว แต่เห็นคนๆ นี้ในทีวีรายการข่าวในพระราชสำนักมานานมาก ทุกข่าวที่มีเข้าเฝ้าในหลวง พระราชินี หรือพระบรมวงศ์ ต้องมีภาพข่าวข้าราชการแต่งชุดขาวกับภรรยาทรงผมฟูๆ อย่างน้อยสักห้าวินาทีทุกข่าวไป ก็เลยสงสัยว่าเป็นใคร ทำไมถึงได้ออกทีวีทุกครั้งไป 

 

ไปถามผู้รู้ได้ความว่าคือปลัดคนนี้นั่นเอง นับจากนั้นมาจึงรู้สึกคุ้นเคยกับปลัดและภรรยาผ่านข่าวในพระราชสำนักเป็นประจำ จากความรู้สึกแปลกใจว่ารัฐมนตรียังไม่ได้มีภาพเลย แต่เหตุไฉนนายคนนี้จึงมี กลายเป็นความไม่แปลกใจ และเห็นด้วยกับคนที่รู้จักปลัดคนนี้ดี เก่ง ฉลาด รวย จึงทำได้แบบนี้


———-
ภาพที่เห็นกับเบื้องหลังที่เป็นจริง
———-

ทั้งสองเรื่องเป็นอุทาหรณ์ของชีวิตในสังคมและวัฒนธรรมแบบไทยๆ ภาพที่แสดงกับความเป็นจริงของชีวิต มันสามารถแตกต่างกันได้อย่างสิ้นเชิง 

 

คนที่เก่งเรื่องสร้างภาพประชาสัมพันธ์สามารถทำให้คนและสังคมเชื่อว่าเขาเป็นคนดี มีความสามารถ เคร่งครัดในธรรม ดำรงตนอย่างน่าชื่นชม ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมาย ถ้ารับราชการก็จะเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แซงเพื่อนร่วมรุ่นหรือ รุ่นพี่เกษียณไปแล้ว 

 

คนยังรู้จักเขาจากภาพที่เขาแสดง ไม่รู้จักตัวจริงเอาเสียเลย เป็นความโชคร้ายของราชการที่ได้ของปลอมมาขึ้นหิ้งให้หลงชื่นชมสนับสนุน มีน้อยรายที่ความจริงถูกเปิดเผย ทำให้แผ่นดินของส่วนราชการแห่งนั้นสูงขึ้น 

 

ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองจึงควรตระหนักรู้ถึงความเป็นตัวตนที่แท้จริงของคนที่แวดล้อมรอบข้าง จะส่งเสริมสนับสนุนใครให้อยู่ในตำแหน่งที่สำคัญมีผลประโยชน์ ต้องมีข้อมูลรอบด้าน อย่าหลงใหลได้ปลื้มกับภาพลวงตา ภาพที่คนๆ นั้นเสแสร้ง แสดงออก 

 

พวกเราในสังคมก็เช่นกัน ยุคสมัยที่เทคโนโลยีก้าวไกล การสร้างภาพลวงตาทำได้ง่าย และยิ่งภาพลวงตาสามารถสร้างความสำเร็จให้กับผู้คนทั้งหลายได้ วิชาสร้างภาพจึงถูกนำมาใช้ในทุกวงการและในทุกเหตุการณ์ 

 

การเมืองก็เช่นกัน นักการเมืองคือนักสร้างภาพ มีคนพูดไว้ว่าบริหารบ้านเมืองไม่ยากเท่ากับการบริหารภาพพจน์ให้เป็นที่ชื่นชม แม้การบริหารบ้านเมืองจะห่วยแตกก็ตาม


———-
การเมืองกับสื่อออนไลน์ที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ
———-

กลับมาดูภาพใหญ่ เป็นประจำทุกสิ้นปีที่มักจะมีโพลของสำนักต่างๆ ในไทยทยอยออกมานำเสนอให้เป็นที่รับทราบทั่วกัน มีทั้งที่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการบ้านการเมือง เหตุการณ์ที่น่าจดจำประจำปี ดารา นักร้อง บุคคลแห่งปี คำพูด คำกล่าวยอดฮิต เป็นต้น อยู่ที่ว่าใครสนใจด้านไหนก็ติดตามกันไป 

 

ผลโพลเหล่านี้ในมุมหนึ่งจะสะท้อนว่าสังคมในปีนั้นมีทัศนคติต่อเรื่องนั้นอย่างไร อยากจะยกตัวอย่างสัก 2 โพลมาสะท้อนให้เป็นข้อคิด 

 

โพลแรกคือ กรุงเทพโพลล์ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพที่ทำการสำรวจภายใต้หัวข้อ “ที่สุดแห่งปี 2022” ภายใต้ข้อคำถามที่ว่า ท่านได้รับข่าวหรือสถานการณ์ในประเทศ ผ่านช่องทางใดมากที่สุดในปี 2022 คำตอบที่ได้คือ โทรทัศน์ 45.2% , สื่อสังคมออนไลน์ Facebook Twitter Tiktok Line 39.1% , YouTube 13.4% , เว็บไซต์ 1.2% และวิทยุ 1.1% 

 

ถ้าดูเผินๆ จะเห็นว่าสื่อแบบดั้งเดิมอย่างโทรทัศน์ยังมีอิทธิพลต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน แต่ถ้านำตัวเลขของสื่อใหม่หรือสื่อออนไลน์ทั้งหมดมารวมกันแล้วจะมีสัดส่วนที่เกินกว่า 50% ของผลสำรวจ ทำให้เห็นถึงอิทธิพลการสื่อสารบนโลกออนไลน์ที่นับวันจะมีความสำคัญมากขึ้น 

 

เสียดายที่กรุงเทพโพลล์ไม่มีผลสำรวจเมื่อปี 2021 มาเปรียบเทียบ อาจจะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนมากขึ้น จึงไม่แปลกใจที่ใครอยากจะสื่ออะไรให้เป็นที่จดจำ หรือต้องการมีอิทธิพลต่อความคิดของคนทั่วไป จำเป็นต้องลงทุนในโลกออนไลน์ 

 

หรือหากได้มีพื้นที่ผ่านสื่อโทรทัศน์ด้วยแล้ว น่าจะได้ครองใจทั้งคนรุ่นใหม่ที่ชอบสื่อสารถึงกันผ่านโทรศัพท์มือถือและคนรุ่นเดิมที่ยังติดกับวิทยุโทรทัศน์

พูดมานี้ไม่เฉพาะภาคธุรกิจเอกชนที่หวังผลด้านกำไรเชิงพาณิชย์เท่านั้น แต่รวมถึงภาคการเมืองที่หวังจะสร้างผลกำไรคือคะแนนนิยม นักการเมืองบางคนสร้างคะแนนนิยมเฉพาะตัว 

 

มีตัวอย่างให้เห็นชัดเจนคือผลการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ทีมงานของคุณชัชชาติใช้การสื่อสารผ่านสื่อโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดภาพแลนด์สไลด์ให้ได้เห็น 

 

นอกจากนี้ยังมีพรรคการเมืองบางพรรค ที่ทุ่มงบประมาณสร้างเครือข่ายการสื่อสารบนโลกออนไลน์มานาน ไม่ได้หวังคะแนนนิยมเพียงด้านเดียว แต่ต้องการปลูกฝังทัศนคติที่เป็นอันตรายต่อบ้านเมืองต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้กับคนที่เสพสื่อบนโลกออนไลน์

 

ตั้งเป้าหมายที่จะนำพา ส.ส.เข้าสภาเพื่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ยิ่งข้อมูลที่สำรวจออกมาว่าสื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อการรับรู้ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นทุกปีต่อเนื่อง ก็หมายความว่าพรรคนี้มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายในไม่ช้าเช่นกัน


———-
ขบวนการปลุกปั่นกับความนิ่งเฉยของภาครัฐ
———-

อีกโพลหนึ่งที่ผลสะท้อนน่าจะเกี่ยวข้องกัน ซุปเปอร์โพลเปิดเผยผลสำรวจเรื่อง สถาบันหลักของชาติกับคนไทย ระบุว่า 

  • 80.1% พบการยุยงปลุกปั่นเด็กและเยาวชนสั่นคลอนสถาบันในโลกโซเชียล 
  • 85.9% พบว่ามีพรรคการเมือง นักการเมือง นักวิชาการ นักเคลื่อนไหวทางสังคมบางคนยุยงปลุกปั่น
  • 81.8% พร้อมมากถึงมากที่สุดที่จะปฏิเสธพรรคการเมืองที่สั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ 
  • 79.9% เห็นว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองปล่อยปละละเลย ขาดมาตรการเชิงรุก ไม่เด็ดขาดจัดการกับขบวนการยุยงปลุกปั่นสั่นคลอนสถาบันหลักของชาติ

ข้อมูลนี้บอกอะไรเราบ้าง อย่างแรกก็คือ คนไทยรู้แล้วว่าในขณะนี้มีพรรคการเมืองบางพรรค นักการเมืองบางคนสมคบกันเป็นขบวนการต้องการล้มล้างสถาบันหลักของชาติ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กลุ่มเด็กและเยาวชนซึ่งเติบโตมากับการเสพสื่อโซเชียล 

 

โดยใช้วิธีการยัดเยียดข้อมูลที่ไม่ถูกต้องไปโน้มน้าวเด็กและเยาวชน ขณะที่หน่วยงานภาครัฐทั้งที่รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดต่อชาติบ้านเมืองในอนาคต แต่ก็ไม่ยอมดำเนินการใดๆ 

 

ทั้ง 2 โพลบอกเราว่าบ้านเมืองอยู่ในช่วงที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ จากการที่จะถูกพรรคการเมืองหนึ่งอาศัยกลไกของรัฐสภา อาศัยเอกสิทธิ์ของการเป็นนักการเมืองเพื่อทำการเปลี่ยนระบอบการปกครองแบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน ด้วยวิธีการใส่ชุดข้อมูลความคิดที่ผิดๆ ผ่านทางสื่อออนไลน์ เพราะรู้ว่ากฎหมายมีช่องว่าง หน่วยงานของรัฐก็วางเฉยไม่กล้าดำเนินการอะไร 

 

สร้างเป็นข่ายงานในกลุ่มเยาวชน เป็นนักรบในโลกออนไลน์คอยกระจายข้อมูลที่บิดเบือน ยุยงให้เยาวชนออกมาทำกิจกรรมต่อต้านสถาบันหลักของชาติในที่สาธารณะ 

 

พอถูกดำเนินคดีก็ให้นักการเมืองออกมาประกันตัว ฟ้องต่างประเทศให้ช่วย และพอมีการเลือกตั้งก็ให้สนับสนุนผู้สมัครของพรรคเข้าไปอยู่ในสภามากขึ้นๆ ไม่ต้องสำเร็จในปีนี้ปีหน้า แต่ถ้าชักจูงเยาวชนวันนี้ได้ ผู้ใหญ่ในวันหน้าจะไปไหนเสีย แบบนี้ไม่เรียกว่าเป็นขบวนการแล้วจะเรียกว่าอะไร

 

การกระทำที่เป็นปรปักษ์กับระบอบการปกครองของรัฐแบบนี้ ไม่ว่าประเทศไหนจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ ต่างก็มีมาตรการทางกฎหมายที่เด็ดขาดแทบทั้งนั้น 

 

ยิ่งผลสำรวจของซุปเปอร์โพลยังบอกว่าคนไทยไม่ได้โง่ รู้เท่าทันความคิด รู้ว่าใครกำลังทำอะไรอยู่เบื้องหน้าหรืออยู่เบื้องหลัง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าหน่วยงานรัฐทำอะไรกันอยู่ ผลโพลยังบอกถึงอารมณ์ความไม่พอใจของคนไทยส่วนใหญ่อีกด้วย กลัวว่าวันหนึ่งความไม่พอใจจะปะทุแสดงออกในทางที่แรงมากขึ้น กลายเป็นความขัดแย้งกับกลุ่มเยาวชนสาวกของพรรคการเมืองนี้ 

 

ในทางกลับกันหากรัฐบาลคุณประยุทธ์หามาตรการดูแลเรื่องนี้จริงจัง มั่นใจว่าจะได้รับคำชื่นชมพร้อมกับเสียงสนับสนุนฝากความหวังให้ดูแลบ้านเมืองต่อไป

อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า