Newsสถานการณ์ที่หนาวเหน็บและโดดเดี่ยว จากการก้าวที่ไกลเกินไป และอุปสรรคที่จะทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามผ่าน ด่าน สว.

สถานการณ์ที่หนาวเหน็บและโดดเดี่ยว จากการก้าวที่ไกลเกินไป และอุปสรรคที่จะทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามผ่าน ด่าน สว.

 

ที่ผ่านมามีเรื่องที่อยากบันทึกไว้ 2 เรื่อง อันดับแรกคือ คุณประยุทธ์ประกาศวางมือทางการเมือง เชื่อว่ามีคนไทยจำนวนมากรู้สึกเสียดายคนดีที่ต้องหายไปจากวงการเมือง เรื่องผลงานในฐานะนายกรัฐมนตรีคงไม่ต้องนำมากล่าวซ้ำ มีมากมายที่เห็นเป็นรูปธรรม ช่วง 9 ปีที่ผ่านมาได้รับการยกย่องจากนานาชาติในหลายเรื่อง 

 

คุณประยุทธ์มารับหน้าที่ในช่วงที่ประเทศกำลังอ่อนแอ สังคมไทยขัดแย้งกันอย่างรุนแรง ถ้าไม่ได้ผู้นำที่เข้มแข็ง มีจิตใจที่สุจริต เที่ยงธรรม จนสามารถนำพาประเทศและประชาชนผ่านพ้นวิกฤต ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ประเทศจะเป็นอย่างไร 

 

เมื่อ 9 ปีที่แล้วน้องๆที่เป็นกลุ่ม First voter อายุเพียง 9-10 ขวบ คงไม่รู้ว่าช่วงเวลานั้นคนรุ่นพ่อรุ่นแม่มีความรู้สึกอย่างไรบรรยากาศความเป็นประชาธิปไตยของนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งยกพวกตีกันทุกวัน มันไม่ได้สวยงามอย่างที่น้องๆ คิด 

 

อยากให้ย้อนกลับไปศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเมืองให้ดี ไม่อยากให้ถูกใครมาย้อมความคิด อย่างไรก็ต้องขอขอบคุณคุณประยุทธ์แทนคนไทยที่ไม่มีโอกาสได้สื่อสารถึงคุณประยุทธ์โดยตรง

 

———-

 

อีกเรื่องคือ คุณพิธาไม่ผ่านการรับรองจากรัฐสภาครั้งที่ 1 ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ซึ่งไม่ได้ผิดความคาดหมายจากที่หลายฝ่ายวิเคราะห์ไว้ 

 

เท่าที่ติดตามฟังรู้สึกได้ว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่เฉพาะตัวคุณพิธา แต่อยู่ที่พรรคก้าวไกลตรงนโยบายของพรรคที่ยืนยันจะแก้ไขมาตรา 112 เป็นเรื่องหลัก และคุณพิธาก็ไม่ยอมที่จะลดหรือขยับหรือละเลิกเรื่องนี้กลับอ้างว่าเป็นสัญญาประชาคมของคน 14 ล้านเสียงที่เลือกพรรคก้าวไกลมา เข้าทำนองได้เสียงประชาชนแต่ไม่ได้เสียงคนในสภา 

 

ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป การเลือกคุณพิธาครั้งที่ 2 จะเกิดขึ้นหรือไม่ ดีไม่ดีอาจจะมีคนเสนอให้ตีความว่าสามารถเสนอเป็นวาระซ้ำได้อีกหรือไม่ หรือว่าถ้าจะมีการเลือกตั้งที่ 2 จริงผลคงไม่แตกต่างจากเดิม คะแนนเสียงไม่รับรองอาจจะแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ 

 

ยังไม่นับเรื่องที่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ ส.ส.ซึ่งจะไม่มีโอกาสเข้ามาในห้องประชุมชี้แจงใดๆได้อีก ยิ่งแย่หนักกว่าเดิม

 

———-

 

พรรคร่วม MOU อีก 7 พรรคที่เหลือคงปล่อยให้พรรคก้าวไกล ดิ้นหาทางส่งคุณพิธาเป็นนายกให้ได้อยู่เพียงฝ่ายเดียว ที่เคยรับปากกันว่าจะช่วยกล่อม ส.ว.มาตั้งแต่เซ็น MOU ร่วมกันก็ได้กันมาแค่ 13 เสียงเท่านั้นไม่รู้ว่าจับมือกันช่วยมากน้อยแค่ไหน 

 

แถมบางพรรคตอนนี้เริ่มออกมาแนะนำว่าอย่าฝืนสู้ต่อ ไล่ให้ถอนตัวไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาพรรคอื่นที่เขาจะได้ไปคุยจับขั้วใหม่กัน

 

ช่วงนี้ถือว่าพรรคก้าวไกลต้องดิ้นให้พ้นบ่วงกรรมที่พรรคได้ก่อไว้เองจนทำให้ไร้ญาติขาดมิตรทางการเมือง จากนี้คงเห็น ส.ส.ของพรรคออกเดินสายปลุกกระแสมวลชนมาช่วยเป็นแรงสนับสนุนให้มากขึ้น 

 

รวมทั้งใช้วิธีการที่ถนัดคือใช้สื่อโซเชียลชักชวนด้อมส้มทั้งหลายให้ออกมาแสดงกำลังมากกว่านี้ จัดทัวร์ไปถล่ม ข่มขู่ บูลลี่ ส.ว.รวมถึงคนที่ขัดขวางคุณพิธา ไม่อยากนึกถึงภาพความวุ่นวายของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าประชาธิปไตยกำลังจะเกิดขึ้นตามท้องถนนอีกครั้ง 

 

ที่น่ากังวลต่อไปกลัวว่าจะมีการไปปลุกปั่นบิดเบือนด้อมส้มทั้งหลายให้เข้าใจเป็นว่ามีอำนาจอื่นเข้ามาขวางไม่ให้คุณพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการสมคบคิดกันของกลุ่มองค์กรฝ่ายอนุรักษนิยม โดยที่ไม่ได้ดูถึงความบกพร่องของตนเองเลย 

 

รูปการณ์แบบนี้คือต้องการลากประชาชนมาเป็นคู่กรณีกับสถาบันพระมหากษัตริย์ เรื่องแบบนี้คุณพิธาและบรรดาแกนหลักรวมทั้ง ส.ส.ของพรรคก้าวไกลควรต้องออกมาเบรค ยับยั้ง ให้สติมวลชน ถึงจะเรียกว่ามีวุฒิภาวะเหมาะสมกับที่จะมาดูแลบริหารประเทศให้เกิดความสงบสุข 

 

ไม่ใช่ปล่อยให้กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนที่อาจลุกลามไปวงกว้างโดยมีพรรคตนเองรอรับผลประโยชน์เหมือนทุกครั้ง

 

———-

 

การอ้างเสียงสนับสนุน 14 ล้านเสียงว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ต้องการยกเลิกมาตรา 112 คิดว่าเป็นการเคลมเสียงประชาชนอย่างไม่ถูกต้อง เชื่อว่าในจำนวน 14 ล้านเสียงมีจำนวนมากที่เขาไม่ต้องการให้พรรคเข้าไปยุ่งกับมาตรา 112 เพราะตอนหาเสียงพรรคก้าวไกลก็ไม่ได้พูดเรื่องนี้ในทุกเวที ไม่เช่นนั้นคงถูกร้องกล่าวโทษไปนานแล้ว 

 

ขนาดแค่พูดบางเวทีพรรคยังถูกฟ้องเป็นคดีอยู่ขณะนี้ ซึ่งก็ถือเป็นกรรมอีกข้อหนึ่งที่ทำไว้ ประชาชนที่เลือกอาจจะชอบนโยบายบางข้อของพรรคเท่านั้น หรือถูกลูกหลานบอกให้เลือกก็เป็นได้ ดังนั้นการจะมาถืออ้างว่าเป็นสัญญาประชาคมทั้งหมดจึงไม่ถูกต้อง 

 

ถ้ายึดมั่นถือมั่นว่าเป็นสัญญาประชาคมแล้วตอนที่หารือร่วมเซ็น MOU เป็น 8 พรรคร่วม ทำไมถึงยอมที่จะถอดเรื่องนี้ออกจากสาระใน MOU หรือว่ากลัวจะจับขั้วเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ มาถึงตอนนี้กลับบอกว่าลดเพดานเรื่องนี้ไม่ได้ หรือเป็นเพราะกลุ่มโปลิตบูโรของพรรคไม่ยอมแล้วมาอ้างว่าเป็นความต้องการของประชาชนกันแน่  

 

———-

 

พูดถึงพรรคก้าวไกลแล้ว หลังวันที่ 13 เป็นต้นมา คนไทยกลัวม็อบจะมาเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ปรากฏมากันน้อยมาก ผิดคาด บางคนบอกว่าเพราะหัวหน้าม็อบเข้าไปเป็น ส.ส.กันหมดแล้ว แกนนำที่อยู่ข้างนอกก็ติดคดี ทะเลาะกันเอง กลุ่มชื่อทะลุวัง ทะลุอะไรสารพัด ไม่สามารถนำมวลชนได้ เพราะชอบแต่ใช้ความรุนแรง จึงขัดแย้งกันเอง คนที่เริ่มตระหนักความจริงจึงถอยห่าง ไม่อยากเอาอนาคตไปเสี่ยง 

 

เวลานี้คิดจะใช้กลุ่มแรงงานและเกษตรกรเข้ามาช่วยม็อบแทน มวลชนที่เขาเดือดร้อนจากปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ต้องตกเป็นเครื่องมือให้พรรคการเมือง อนาคตอาจไปจบลงในคุกตะรางมีคดีความติดตัวเป็นหางว่าว มวลชนกลุ่มนี้รู้เท่าทันคงระมัดระวังพอสมควร 

 

พรรคก้าวไกลจึงหนักไปในทางใช้โซเชี่ยลเป็นเครื่องมือซึ่งหนีไม่พ้นข่มขู่ คุกคาม ด่าทอหยาบคาย ลูกเมีย ส.ว. ที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไปคุกคามเขา ทราบว่าอาทิตย์นี้จะเจอคดีความอาญากันหลายคน 

 

ก้าวไกลคงไม่ได้เรียนรู้ว่า นิสัยก้าวร้าวเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จในทุกเรื่อง พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน จะโทษใครก็ไม่ได้ ถ้านิสัยไม่ดี ไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบหาสมาคมด้วย ส่วนดีที่ควรได้นำไปทำประโยชน์ให้บ้านเมืองก็มีเยอะ แต่ส่วนไม่ดีมันกลบส่วนดีเสียหมด คนเขาจึงไม่ให้โอกาส คอยดูกันต่อไป อ่านจบแล้วก็ยังไม่รู้ว่าใครได้เป็นนายกรัฐมนตรี

 

บทสรุปในอาทิตย์นี้คือ วันที่ 19 กรกฎาคม เราจะได้เห็นชื่อคุณพิธาถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นครั้งที่ 2 และก่อนโหวตก็คงมีการถกแถลงอภิปรายกันพอหอมปากหอมคอ ว่าคุณพิธามีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเป็นรอบที่ 2 ได้หรือไม่ ขัดกับข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 41 หรือไม่ 

 

เชื่อว่าในที่สุดแล้วประธานรัฐสภาก็คงอนุญาตให้เสนอชื่อคุณพิธาได้ คนก็อ่านเกมออกล่ะว่า ยากที่คุณพิธาจะได้รับเสียงสนับสนุนจากวุฒิสภาถึง 64 เสียง ผลจากคราวที่แล้วได้ 13 เสียง บ่งบอกความเป็นไปของผลในครั้งที่สองได้เป็นอย่างดี 

 

แม้ว่าคุณพิธาลงทุนแถลงเรียกร้องให้ด้อมส้มร่วมมือกันทำอะไรก็ได้เปลี่ยนใจ ส.ว. ที่งดออกเสียง ให้กลับมาโหวตให้ ยิ่งคุกคาม ยิ่งกดดัน ยิ่งข่มขู่ ยิ่งจะไม่ได้คะแนนเสียง แถมจะโดนคดีอาญาที่ ส.ว. ประกาศเดินหน้าฟ้องคดีให้ถึงที่สุด 

 

เรื่องนี้คุณพิธาก็รู้อยู่แก่ใจว่าจะไม่ได้แน่ แต่ก็ดันทุรังจะไปต่อ หาเหตุผลอย่างไรมาตอบ ก็ตอบไม่ได้ ได้แต่หวังว่าไม่ทำให้ประเทศเสียหายไปมากกว่านี้

 

———-

 

​วันเสาร์ที่ผ่านมาคุณพิธาคงพออ่านเกมออก จึงประกาศว่าจะขอสู้อีกสองสมรภูมิคือโหวตรอบที่ 2 และแก้ไขรัฐธรรมนูญตัดอำนาจ ส.ว. เลือกนายกรัฐมนตรี ถ้าแพ้ทั้งสองสมรภูมิ จะสนับสนุนพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนคนของเพื่อไทยเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคร่วม 8 พรรคและบริหารราชการตาม MOU ที่ร่วมตกลงกันไว้ แปลว่า “ไม่เป็นนายกก็ได้” แต่ขอเป็นพรรคร่วมรัฐบาลต่อ 

 

สมรภูมิที่ว่านี้จะใช้เวลาอีกนานเท่าใดไม่รู้ มีผู้สันทัดกรณีบอกว่าโน่นสิงหาคมถึงจะได้นายกคนใหม่ ประเทศจะรอได้ไหม พรรคเพื่อไทยจะว่าอย่างไร ส.ว.จะโหวตอย่างไรถ้าก้าวไกลยังร่วมอยู่ในรัฐบาล น่าสนใจท่าทีของ ส.ว.เป็นอย่างมาก จะไว้วางใจให้ก้าวไกลเป็นรัฐบาลได้หรือไม่ ถ้าไม่อยากพึ่งพา ส.ว. ก้าวไกลจะยินยอมหรือไม่ ให้เพื่อไทยนำภูมิใจไทยเข้ามาร่วมรัฐบาลด้วย เพราะจะทำให้เสียงมากพอทันที 

 

แต่ก็ยังน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ภูมิใจไทยจะร่วมรัฐบาลกับก้าวไกลได้หรือ ก็คุณชาดาอภิปรายดุดันเสียปานนั้น ถูกใจคนรักสถาบันทั่วประเทศ จากพระเอกจะเป็นผู้ร้ายได้ง่ายๆ น่าคิดมากว่ากระบวนการเห็นชอบบุคคลให้เป็นนายกนี่ ยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ใช้เวลานาน อาจต้องโหวตกันถึง 4 หรือ 5 รอบเสียก็ไม่รู้ เหมือนติดอุปสรรคที่พรรคก้าวไกลนั่นเอง

 

จนถึงตอนนี้คิดว่าโอกาสของคุณพิธาคงมีน้อยมากถ้ายังไม่ปรับความคิด พรรคก้าวไกลเองก็คงประเมินได้ การขยับปรับเปลี่ยนมาเป็นประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 คงเป็นการแก้เกี้ยวเพื่อหาเรื่องโทษ ส.ว. โทษบทบัญญัติรัฐธรรมนูญว่าเป็นอุปสรรค หลังจากที่กล่าวโทษมาตรา 112 มาก่อนแล้ว และต้องการขยับเพดานต่อสู้มาเล่นกับมวลชน หากถึงเวลาที่ต้องปล่อยมือจากพรรคเพื่อไทยมาเป็นฝ่ายค้านโดยสมัครใจ

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า