
แทรกแซงราคาข้าว รัฐบาลออกมาตรการสินเชื่อข้าวเปลือก ช่วยเหลือชาวนาจากการถูกกดราคา
7 พ.ย. 66 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ 2 มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ซึ่งเสนอโดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อการดูดซับปริมาณข้าวออกจากตลาด ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีวงเงินทั้งสิ้น 55,038.96 ล้านบาท
โดยเหตุผลของการออกมาตรการมาช่วยเหลือในครั้งนี้เนื่องจากราคาข้าวเปลือกในตลาดค่อนข้างดี ยกเว้นข้าวเปลือกหอมมะลิ ที่กำลังทยอยออกมาสู่ตลาดในช่วงเดือน พ.ย. นี้ จากภาคอีสานและเหนือ 9.5 ล้านตัน กลับมีราคารับซื้อเพียง 11,000 บาทต่อตัน ทั้ง ๆ ที่ราคาตลาดข้าวเปลือกแห้งที่ความชื้น 15% มีราคาถึงตันละ 14,800 – 15,000 บาท ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมต่อชาวนา
จึงมีการออกมาตรการแทรกแซงโดย สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี กำหนดให้สถาบันเกษตรกร และ เกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเองเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉาง 5 เดือน เพื่อรอการขาย ซึ่งรัฐบาลจะให้สินเชื่อโดยกำหนดปล่อยสินเชื่อในกลุ่มข้าวหอมมะลิ ตันละ 12,000 บาท ข้าวหอมมะลินอกพื้นที่ ตันละ 10,500 บาท ข้าวหอมมะลิปทุมธานี ตันละ 10,000 บาท ข้าวเจ้า ตันละ 9,000 บาท ข้าวเหนียว ตันละ 10,000 บาท พร้อมทั้งช่วยค่าฝากอีก ตันละ 1,500 บาท (สหกรณ์รับตันละ 1,000 บาท+เกษตรกรรับตันละ 500 บาท)
มีเป้าหมายดูดซับปริมาณข้าวออกสู่ตลาด 3 ล้านตัน มีวงเงินสินเชื่อ 34,437 ล้านบาท และวงเงินจ่ายขาด 10,120.71 ล้านบาท กำหนดเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 ถึง 29 กุมภาพันธ์ 2567
สำหรับสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม กำหนดให้ให้สถาบันเกษตรกรเข้าไปซื้อแข่งและแทรกแซงตลาด โดยซื้อในราคานำร่องข้าวเปลือกหอมมะลิ ในความชื้น 25% ราคาตันละ 12,200 บาท เมื่อขายได้แล้ว มีกำไรจะแบ่งชาวนาตันละ 300 บาท ซึ่งจะทำให้ชาวนาได้รับเงินรวมตันละ 12,500 บาท ซึ่งจะดีกว่าเดิมหากไม่ไปแทรกแซง เพราะจะทำให้ชาวนาได้เงินเพิ่มจากราคาตลาด อีก 1,500 บาท มีเป้าหมาย 1 ล้านตัน กำหนดเริ่ม 1 ตุลาคม 2566 ถึง 30 กันยายน 2567
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการชะลอข้าวในครั้งนี้คาดว่าจะสามารถดูดซับสภาพคล่องได้ 4 ล้านตัน ซึ่งจะมีผลกับราคาข้าวอย่างมีนัยสำคัญไม่ให้ราคาตกลงไป