
รัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎร์ ตั้งกลไกซับซ้อนซ่อนเงื่อนเพื่อการยื้ออำนาจ โดยอ้างว่า “คนไทยยังไม่พร้อมกับระบอบประชาธิปไตย”
รัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ.2475 สามารถกล่าวได้ว่าเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกที่ได้เกิดขึ้นหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ซึ่งได้มีมุมมองที่มองว่า เป็นสัญลักษณ์ของการได้รับโอกาสเลือกตั้งผู้แทนของตนอย่างเต็มเปี่ยมและปูทางสู่ประชาธิปไตยภายใต้กรอบที่คิดว่า คนไทยพร้อมสำหรับการเลือกตั้งและเส้นทางประชาธิปไตยต่อจากนี้
แต่ในเนื้อในของรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ.2475 หรือแม้แต่ในส่วนของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2475 ที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้า ก็ได้แสดงถึงความไม่พร้อมสำหรับการเลือกตั้งและประชาธิปไตยในหมู่ประชาชนส่วนใหญ่ จากมุมของคณะราษฎรเสียเองที่มองว่า ควรมีการปูฐานสู่ความเป็นประชาธิปไตยและมีกระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านการเมืองเพื่อให้ผู้คนเรียนรู้กับเครื่องมือทางการเมืองใหม่นามว่า “ประชาธิปไตย”
โดยในก้าวแรกที่ได้มีการแสดงออกถึงมุมทางการเมืองของคณะราษฎรนี้ก็คือ การเกิดขึ้นของระบบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มี 2 ประเภทด้วยกัน ประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 อันมีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 อันที่มาจากการแต่งตั้งโดยอิงตามความรู้ความสามารถของผู้คนเพื่อใช้ในการปฏิบัติหน้าที่และขับเคลื่อนระบบการเมืองที่เพิ่งเกิดใหม่ให้สามารถเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 กลับได้มีการแต่งตั้งจากคณะราษฎรจากพื้นฐานของความสัมพันธ์และมุมมองทางการเมืองมากกว่าความรู้ความสามารถที่มีอยู่ ซึ่งได้ถูกกังขาทั้งจากตัวภาคประชาชนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ว่า การดำเนินการของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นการดำเนินการเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรมากกว่าที่จะรักษาเจตนารมณ์เดิมในการมีอยู่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2
นอกจากนี้ อีกประเด็นที่สำคัญจากรัฐธรรมนูญฉบับถาวร พ.ศ.2475 คือ การเกิดขึ้นของแนวคิด “พรรคการเมือง” ในฐานะองค์กรทางการเมืองหลักรูปแบบหนึ่ง อย่างไรก็ตามในช่วงระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พรรคการเมืองถาวรกลับไม่ได้มีการจัดตั้งอย่างเป็นทางการและต่อเนื่องเลย แต่กลับมีการจัดตั้งกลุ่มทางการเมืองที่มีบทบาทในสังคมอย่าง “สมาคมคณะราษฎร” และ “สโมสรคณะราษฎร” ตามลำดับ
ซึ่งแม้ว่าหน้าตาจะมีความคล้ายกับการปฏิบัติงานของสมาคมและสโมสรทั่วไปแต่เมื่อมองลงมาถึงหน้าที่และจุดประสงค์อย่างแท้จริงก็จะพบว่า มีรูปแบบการทำงานที่คล้ายกับพรรคการเมือง เพียงแต่ว่าจะไม่ได้ออกหน้าในเรื่องทางการเมืองมากนัก ซึ่งเป็นสถานะที่ค่อนข้างได้เปรียบกับกลุ่มการเมืองอื่น ๆ เพราะแม้ว่าจะไม่ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการและต่อเนื่องก็ตาม
ทว่า การทำหน้าที่ของสมาคมคณะราษฎร สโมสรคณะราษฎร และเครือข่ายอำนาจภาครัฐในกลุ่มการเมืองของคณะราษฎร ก็แสดงถึงสถานะของการเป็นพรรคการเมืองโดยอ้อมเพียงพรรคการเมืองเดียวในสังคมได้เป็นอย่างดี จากการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ในช่วงเรืองอำนาจของคณะราษฎรที่ผ่านมา
อีกจุดสำคัญของเรื่องนี้ คือ ระบบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 จะมีอายุประมาณ 10 ปี หรือจนกว่าประชาชนในประเทศจะสำเร็จการศึกษาชั้นประถมเป็นส่วนใหญ่ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทว่าก็มีความพยายามมากมายจากคณะราษฎรส่วนหนึ่งในการยื้ออายุสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ด้วยเหตุผลสารพัดอย่าง จนทำให้วาระของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ได้ถูกขยายออกไปให้นานขึ้นในช่วงขณะนั้น
ตรงนี้จึงทำให้เมื่ออิทธิพลของคณะราษฎรเริ่มเสื่อมคลายลงก็ได้ทำให้แนวคิดพรรคการเมืองที่คณะราษฎรส่วนหนึ่งเคยไม่ยอมรับก็ได้ยอมรับด้วยเหตุผลทางการเมืองจนได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ซึ่งไม่ได้มีเพียงฝ่ายคณะราษฎรเท่านั้นที่สามารถจัดตั้งพรรคการเมืองได้ ขั้วตรงข้ามทางการเมืองเองก็สามารถจัดตั้งพรรคการเมืองได้เช่นเดียวกัน
อีกส่วนหนึ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงคือ ระบบสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ก็ได้ค่อย ๆ หายไป และได้แปรสภาพเป็นอีกสภาต่างหากคือ วุฒิสภา ซึ่งมีกลไกในการตรวจสอบการทำงานของ สภาผู้แทนราษฎรที่มีที่มาจากการเลือกตั้งเป็นหลัก และแยกการปฏิบัติหน้าที่ออกจากสภาผู้แทนราษฎรอย่างชัดเจน
และจุดหนึ่งที่ได้เป็นหัวข้อโต้เถียงรุนแรงในช่วงปลายยุคคณะราษฎรช่วงหลัง (พ.ศ.2490 – 2500) คือ การแยกสถานภาพระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำรวมทั้งการห้ามไม่ให้ข้าราชการประจำยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะคณะราษฎรมีจุดยืนสำคัญที่ไม่ต้องการให้เกิดการแบ่งแยกลักษณะนี้รวมทั้งต้องการแผ่อิทธิพลเข้าไปในกลุ่มข้าราชการประจำและคงรักษาไว้ซึ่งฐานอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎร
ในขณะที่กลุ่มคัดค้านคณะราษฎรกลับต้องการให้มีการแบ่งแยกชัดเจนระหว่างข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ เพื่อให้การปฏิบัติงานมีความมืออาชีพมากขึ้น และให้ข้าราชการประจำมีบทบาทในการปฏิบัติงานโดยไม่ปนกับหน้าที่ทางการเมืองที่เป็นหน้าที่หลักของข้าราชการการเมือง อันจะเป็นการลดความเสี่ยงของการทุจริตและการใช้อำนาจโดยมิชอบในอีกทางหนึ่งด้วย
ทั้งหมดได้ทำให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญของไทยที่มีความเป็นประชาธิปไตย เปิดกว้าง และยอมรับความหลากหลายของสังคมนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงคณะราษฎร แต่กลับเกิดขึ้นและพัฒนามาอย่างต่อเนื่องหลังจากการเสื่อมถอยของอิทธิพลคณะราษฎรอย่างช้า ๆ โดยแม้ว่าพัฒนาการประชาธิปไตยจะไม่ได้ราบรื่นมากนัก ทว่าก็ยังคงเดินหน้ามาถึงปัจจุบัน และสะท้อนถึงระยะเวลาที่ต้องใช้มหาศาลในการทำให้คนไทยพร้อมและสามารถร่วมเรียนรู้ควบคู่กับการรับผิดชอบผลที่ตามมาจากการตัดสินใจสำหรับการเมืองแบบประชาธิปไตยปัจจุบัน
สุดท้ายนี้ คณะราษฎรที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงการปกครองได้มองเสียเองว่า คนไทยไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย จึงได้มีการออกแบบกลไกสำหรับการเปลี่ยนผ่านมากมาย อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้กลับเป็นกลไกที่ยื้ออำนาจของคณะราษฎรพร้อมกับทำให้กลไกการเรียนรู้ประชาธิปไตยไม่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และกว่าก้าวแรกของประชาธิปไตยที่เข้าสู่การเปลี่ยนผ่านและเรียนรู้อย่างแท้จริงก็ได้เกิดขึ้นหลังช่วงเสื่อมคลายของคณะราษฎร และอาจสะดุดบ้างในบางจังหวะ แต่เมื่อมีการเรียนรู้และเข้าใจความผิดพลาดอย่างแท้จริงก็จะกลายเป็นบทเรียนสำคัญที่จะทำให้ประชาธิปไตยไทยแข็งแรงและมีเสถียรภาพอย่างที่ควรจะเป็น
โดย ชย
อ้างอิง:
[1] ประมวลรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช ๒๔๗๕-๒๕๑๗)
https://library.senate.go.th/document/Ext23018/23018491_0003.PDF
[2] เปิดรัฐธรรมนูญฉบับ 2475 ว่าด้วย “อำนาจ” สถาบันและการเมือง
https://www.thaipbs.or.th/news/content/299046
[3] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2475
http://wiki.kpi.ac.th/index.php?=รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พ.ศ._2475
[4] รัฐธรรมนูญในฝัน: แนวคิด หลักการ และเจตจำนงของคณะราษฎร พ.ศ. 2475
https://pridi.or.th/th/content/2021/12/918
[5] ปม “สมาชิกประเภทที่ 2” ที่รัชกาลที่ 7 ทรงเปรียบการปกครองคณะราษฎรเป็น “ลัทธิเผด็จการทางอ้อม”
https://www.silpa-mag.com/history/article_47894
[6] การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 และ สมาชิกประเภทที่ 2
[7] รัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมว่าด้วยบทเฉพาะกาล พุทธศักราช 2483
https://parliamentmuseum.go.th/constitution-law/mo2475-2.PDF