เตือนส่งออกสินค้า 7 กลุ่ม เตรียมรับมืออียู หลังยกร่างกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า เป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีส่วนตัดไม้ทำลายป่า
กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศแจ้งเตือนผู้ส่งออกเตรียมรับมือ หลังอียูยกร่างกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า จ่อห้ามนำเข้าสินค้า 7 กลุ่ม ชี้จะเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีส่วนตัดไม้ทำลายป่า คาดมีผลบังคับใช้กลางปีหน้า
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เผยความคืบหน้าการยกร่างกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free products) ของสหภาพยุโรป (อียู) ว่าเมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่ประชุม 3 ฝ่าย (trilogue) ประกอบด้วย คณะกรรมาธิการยุโรป รัฐสภายุโรป และคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรป ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นที่จะห้ามสินค้า 7 กลุ่ม
ได้แก่ วัวและผลิตภัณฑ์ ไม้และผลิตภัณฑ์กระดาษตีพิมพ์ ปาล์มน้ำมันและอนุพันธ์ของน้ำมันปาล์ม ถั่วเหลือง กาแฟ โกโก้ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ เข้าอียูหากพบว่ามีส่วนในการทำลายป่า อย่างไรก็ดี ร่างกฎหมายนี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปและรัฐสภายุโรปเต็มคณะก่อนบังคับใช้ ซึ่งคาดว่าจะมีผลใช้บังคับใช้ประมาณเดือนมิถุนายน 2566
และหลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ 2 ปี จะมีการทบทวนขอบเขตของสินค้าและคำนิยามของการตัดไม้ทำลายป่า และการทำให้ป่าเสื่อมโทรมเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
หลังจากกฎหมายมีผลใช้บังคับ ในช่วง 18 เดือนแรก คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปจะจัดให้ทุกประเทศคู่ค้าอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงกลางในการผลิตสินค้าที่อาจเชื่อมโยงกับการทำลายป่า และจะใช้เวลาช่วงนี้ในการประเมินและจัดกลุ่มประเทศคู่ค้าเป็น 3 กลุ่ม คือ ระดับความเสี่ยงสูง กลาง และต่ำ ซึ่งจะส่งผลในการปฏิบัติต่อผู้นำเข้าในช่วงต่อไป โดยอียูจะตรวจสอบอย่างเข้มงวดกับประเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มระดับความเสี่ยงสูง
“ร่างกฎหมายนี้จะถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของโลกที่ห้ามนำเข้าสินค้าที่มีส่วนตัดไม้ทำลายป่า โดยกำหนดให้ผู้นำเข้าจะต้องจัดทำข้อมูล และแสดงหลักฐาน/เอกสารยืนยันว่า สินค้าไม่ได้ผลิตบนที่ดินที่มีการทำลายป่า ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา กลุ่มอุตสาหกรรมไม้ของไทย ได้เตรียมความพร้อมมาระยะหนึ่งแล้ว
เนื่องจากก่อนหน้านี้ อียูเริ่มใช้แผนปฏิบัติการบังคับใช้กฎหมายป่าไม้ ธรรมาภิบาล และการค้า (Forest Law Enforcement, Governance and Trade: FLEGT) ร่วมกับประเทศผู้ผลิตไม้ ต้องมีการรับรองแหล่งที่มาของไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ว่าถูกต้องตามกฎหมาย รวมถึงจัดทำข้อตกลงการเป็นหุ้นส่วนด้วยความสมัครใจ (VPA) กับประเทศผู้ผลิตไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้ไม้ผิดกฎหมายเข้ามาในตลาดอียู โดยไทยและอียูได้เริ่มการเจรจาจัดทำ FLEGT VPA ตั้งแต่ปี 2556”
นอกจากนี้ อียูได้มีการออกกฎระเบียบว่าด้วยการห้ามการจำหน่ายไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ผิดกฎหมายในตลาดอียู (EUTR : EU Timber Regulation) ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2556 เพื่อมาเสริมมาตรการ FLEGT ขจัดปัญหาการทำไม้ผิดกฎหมาย รวมถึงการพัฒนาระบบธรรมาภิบาล ส่งผลให้กลุ่มอุตสาหกรรมไม้ของไทย ต้องให้ความสำคัญกับการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับกฎหมายดังกล่าว
โดยเฉพาะการจัดทำเอกสารแสดงสิทธิ์การใช้ที่ดินว่าไม่ได้บุกรุกป่า โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทย อาทิ กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิประโยชน์บนที่ดิน และมีบทบาทสำคัญในการรับรองว่าการผลิตมีการรุกป่าหรือไม่ โดยได้มีการหารือและเตรียมการเรื่องนี้มาเป็นระยะแล้ว
ทั้งนี้ ในปี 2564 ไทยส่งออกยางพาราและผลิตภัณฑ์ไปอียู มูลค่า 1,693.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 8% ของการส่งออกไทยไปโลก ไม้มูลค่า 22.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 9% ของการส่งออกไทยไปโลก และเฟอร์นิเจอร์มูลค่า 19.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 5% ของการส่งออกไทยไปโลก ส่วนสินค้ากลุ่มอื่นๆ ได้แก่ วัวและผลิตภัณฑ์ ถั่วเหลือง โกโก้ และน้ำมันปาล์ม โดยไทยส่งออกไปอียูน้อย มีสัดส่วนต่ำกว่า 1% ของการส่งออกไปโลก
Sex Worker ถูกกฎหมาย สื่อนอกรายงาน ไทยกำลังผลักดัน ให้มีการคุ้มครองทางกฎหมาย ต่อกลุ่มผู้ให้บริการทางเพศ
ทักษิณพูดเองกลับไทยวันที่ 10 ส.ค. นี้แน่ชี้ หลัง ‘เพื่อไทย’ เป็นรัฐบาลเศรษฐกิจจะดีขึ้นเยอะ
ยลโฉมสุดยอด ‘อาหารไทย’ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำผู้นำชาติ APEC ที่นำแนวคิดมาจากทุกภูมิภาคทั่วไทย
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม