แทรกซึมอยู่ในกิจการเอกชน FBI ชี้เซลล์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อการดำเนินงาน ของบริษัทร่วมค้าต่างๆ ในประเทศจีน
คริสโตเฟอร์ เรย์ ผู้อำนวยการ FBI ให้การต่อหน้าสภาคองเกรสเมื่อวันพุธ (12 ก.ค.) ว่าจีนกำหนดให้บริษัทของสหรัฐฯ และบริษัทต่างชาติอื่นๆ ต้องมีสัดส่วนคณะกรรมการที่คอยสอดส่องดูว่าบริษัทได้ปฏิบัติตามแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์จีนหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีการที่รัฐบาลจีนใช้ประโยชน์จากกิจการร่วมค้า (Joint Venture) เพื่อให้ได้มาซึ่งความลับและข้อมูลของบริษัทต่างชาติ
โดยทาง FBI เรียกคณะกรรมการดังกล่าวว่าเป็น “เซลล์ของพรรคคอมมิวนิสต์” (CCP Cell)
“ไม่มีประเทศใดเลยที่เป็นภัยคุกคามต่อแนวคิด นวัตกรรม และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ มากไปกว่ารัฐบาลจีนและพรรคคอมมิวนิสต์จีน… ในหลายๆ ด้านผมคิดว่าจีนเป็นภัยคุกคามแห่งยุคเลยทีเดียว”
“แม้ว่าจะไม่มีกฎหมายต่อต้านกิจการร่วมค้า แต่เราติดปัญหาตรงที่รัฐบาลจีนมักจะใช้ประโยชน์จากบรรดากิจการร่วมค้าเพื่อใช้เป็นหนทางในการเข้าถึงความลับและข้อมูลของบริษัทอย่างไม่เหมาะสม” ผู้อำนวยการ FBI กล่าว
การวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาของผู้อำนวยการ FBI เป็นการเน้นย้ำถึงความตึงเครียดระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน และยังเกิดขึ้นหลังการเยือนจีนของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2018 รัฐบาลจีนได้กำหนดให้บริษัทต่างชาติในจีนจัดตั้งสัดส่วนคณะกรรมการบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CCP) หากต้องการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
กฎใหม่เมื่อปีที่แล้วกำหนดให้กองทุนในจีนที่ลงทุนในหลักทรัพย์ ต้องจัดตั้งคณะกรรมการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยหน่วยงานกำกับดูแลหลักทรัพย์ของจีนระบุว่า กฎหมายนี้เป็นไปตามหลักการกำกับดูแลกิจการเท่านั้น โดยภาคเอกชนไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูล
ก่อนหน้านี้ Financial Times รายงานว่า HSBC ได้จัดตั้งคณะกรรมการตามกฎดังกล่าวในธุรกิจธนาคารในประเทศจีน ซึ่ง HSBC ถือเป็นผู้ให้กู้ต่างชาติรายแรกที่ทำเช่นนั้น