Work Point จ่อ เลิกจ้างพนักงานผลิตละคร เผย 7 กลยุทธ์การปรับตัว ในยุคที่รายได้จากการโฆษณาผ่านทีวีลดลง ลดต้นทุน – ปั้นศิลปิน T Pop – รุกแพลต์ฟอร์มออนไลน์
สุรการ ศิริโมทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงินการลงทุน และ ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าจากสถานการณ์ในภาคธุรกิจทีวีดิจิทัลนั้นมีแนวโน้มที่จะมีรายได้จากการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ “ลดลงมาก”
โดยในไตรมาสที่ 3 นั้นบริษัทฯ มีรายได้รวม 509.7 ล้านบาท ลดลง 17% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ ขาดทุน17.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 218 ล้านบาท ในขณะที่ในภาพรวม 3 ไตรมาสแรกของปี บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,612.4 ล้านบาท ลดลง 13% มีกำไรสุทธิ 41.2 ล้านบาท ลดลง 55%
นอกจากนี้ ในช่วงไตรมาส 4 ถือว่าเป็นช่วงโลว์ซีซันของการใช้จ่ายเงินเพื่อการโฆษณา ทำให้บริษัทฯ คาดว่าในปีนี้ บริษัทฯ จะมีรายได้จากการขายโฆษณาเพียง 1,200 ล้านบาท และคาดว่ารายได้จากการขายโฆษณาในปี 2568 จะลดลงเหลือเพียง 1,100 – 1,150 ล้านบาท ลดลง 5-10% จากปีนี้
เพื่อการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของบริษัทฯ บริษัทจึงมีแผนที่จะลดต้นทุน และหารายได้ใหม่เพื่อการชดเชยรายได้จากค่าโฆษณาที่ลดลงดังนี้
1 ยุติการผลิตละคร โดยจะมีการยุบแผนกผลิตละคร และเลิกจ้างพนักงานในส่วนนี้ไป ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถประหยัดต้นทุนลงได้ 100 – 150 ล้านบาทต่อปี แต่ทั้งนี้ ในช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของปีนี้ บริษัทฯ จะเดินหน้าทำละครที่ค้างสต๊อกอยู่ 2 เรื่องครึ่งมาออกอากาศให้หมด ทำให้ยังคงมีต้นทุนเพิ่ม 30 – 40 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้ารับจ้างผลิตละครหรือเป็น Content Provider ให้กับลูกค้าต่างๆ ต่อไป
และแผนงานในปีหน้าจะไม่มีการผลิตละครในช่องเวิร์คพอยท์ แต่จะเน้นผลิตรายการวาไรตี้ รายการเทเลอร์เมด พ่วงกิจกรรมออนกราวด์ การจัดอีเวนต์ต่างๆ ซึ่งทำให้รักษาฐานลูกค้าเดิมเพิ่มลูกค้าใหม่ เพราะลูกค้าแบรนด์ต่างๆ ต้องการใกล้ชิด พบเจอผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายอยู่
2 จ่อเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจบริหารจัดการศิลปินภายใต้ค่าย XOXO ENTERTAINMEN ผ่านการปั้นศิลปิน T-Pop และจะมีการจับมือกับกลุ่มพันธมิตร ในการรุกตลาดต่างประเทศ โดยจะให้ความสำคัญกับการการจัดคอนเสิร์ต T-Pop และการจัดละครเวที
ในขณะที่การดึงศิลปินจากต่างประเทศมาจัดแสดงในประเทศไทยนั้น จะมีการลดจำนวนงานลง เนื่องจากธุรกิจนี้นั้น มีอัตราการแข่งขันสูงมาก
3 ตั้งเป้าผลิตภาพยนตร์ปีละ 2-3 เรื่อง
4 จับมือกับกลุ่มพันธมิตรแพลตฟอร์มวิดีโอออนไลน์ (OTT) ผลิตรายการเพื่อการออกอากาศผ่าน NetFlix
5 ผลิตรายการตามลูกค้าต้องการ (Tailar made)
6 ผลิตคอนเทนต์ออนไลน์
7 จับมือพาร์ตเนอร์ใช้เวลาออกอากาศทางทีวี(Airtime) พัฒนาสินค้ามาจำหน่ายอีก 2 หมวด ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และอาหาร
ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นกลยุทธ์ที่บริษัทจะนำมาใช้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะมีรายได้ในปี 2568 2,500 ล้านบาท และทำกำไรสัดส่วน 2-3% แต่ทั้งนี้บริษัทฯ จะยังต้องมีการลงทุนในการผลิตศิลปิน 24 คน ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า