
MOU 2544 – บอร์ดแบงก์ชาติ อดีตที่ไล่ล่าพรรคเพื่อไทย กับกระแส “ความไม่ไว้วางใจ” รัฐบาลแพทองธาร
MOU 2544 – บอร์ดแบงก์ชาติ อดีตที่ไล่ล่าพรรคเพื่อไทย กับกระแส “ความไม่ไว้วางใจ” รัฐบาลแพทองธาร
ช่วงที่ผ่านมานี้ เกิดกระแสสังคมและการเมืองที่พุ่งเป้าไปยังรัฐบาล น.ส. แพทองธาร ชินวัตร ใน 2 เรื่องคือ การคัดสรรประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย หรือบอร์ดแบงก์ชาติ และเรื่อง MOU 2544 ระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจในตัวรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ซึ่งทั้ง 2 เรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาล และในรัฐบาลก่อน ๆ ต่างก็ไม่เคยมีปัญหา แต่เหตุใดจึงกลับมามีปัญหาในรัฐบาลพรรคเพื่อไทย?
— ประธานบอร์ดบอร์ดแบงก์ชาติ —
กระบวนการคัดสรรประธาน และคณะกรรมการบอร์ดแบงก์ชาติ เปิดขึ้นเป็นครั้งแรกตาม พรบ. ธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับที่ 4 พ.ศ. 2551 และมีการใช้กระบวนการนี้มาแล้วหลายรัฐบาล ซึ่งรวมไปถึงรัฐบาลของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ซึ่งมีการแต่งตั้ง ดร.โกร่ง-วีรพงษ์ รามางกูล เป็นประธานบอร์ดในปี 2555 ที่ถึงแม้ว่าจะมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะมีการแทรกแซง ธปท. หรือไม่ เนื่องจากอำนาจหน้าที่ของ บอร์ดแบงก์ชาตินั้นครอบคลุมไปถึงเรื่องการบริหารทุนสำรองเงินตราด้วย
แต่ด้วยกลไกของบอร์ดแบงก์ชาตินั้น ประธานบอร์ดมิได้มีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว แต่ยังมีคณะกรรมการบอร์ดอีก 11 ท่าน คานอำนาจอยู่ด้วย จึงอาจจะกล่าวได้ว่า ถึงแม้ว่าประธานบอร์ดฯ จะเป็นบุคคลที่มาจากการเสนอชื่อของฝ่ายการเมือง แต่ก็ไม่ง่ายที่จะแทรกแซงการทำงานของ ธปท. เนื่องจากคณะกรรมการส่วนหนึ่งนั้น มาจากการแต่งตั้งของ ธปท. เอง
อย่างไรก็ดี ปมความขัดแย้งระหว่างพรรคเพื่อไทย และ ธปท. ที่นำมาสู่ความ “ไม่ไว้วางใจ” ในกระบวนการคัดสรรประธานบอร์ด ธปท. ในครั้งนี้ เกิดขึ้นมาจากโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต”
ซึ่งมีหลายครั้งที่เกิดวิวาทะระหว่าง ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่า ธปท. กับแกนนำของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะนายพิชัย ชุณหวชิร รมว. คลังที่ถึงขั้นออกมาตั้งคำถามว่า ดร.เศรษฐพุฒิ จบอะไรมา
ซึ่งนี่ทำให้เกิดความวิตกกังวลว่า พรรคเพื่อไทยพยายามที่จะให้คนของตัวเองได้รับเลือกเป็นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ เพื่อลดแรงต้านในการผลักดันโครงการดิจิทัล วอลเล็ต และโครงการอื่นที่อาจเข้าข่ายประชานิยม
และอาจจะมีการล้วงเอาทุนสำรองเงินตรา ที่มีการฝากทองคำมูลค่ามหาศาล ตามเจตนารมณ์ของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งมีทองคำสำรองกว่า 13 ตัน และเงินตราต่างประเทศกว่า 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (343 ล้านบาท) หรือไม่
— MOU 2544 —
สำหรับ MOU 2544 ที่กลายมาเป็นข้อกังวลว่าอาจจะทำให้ประเทศไทยจะต้องสูญเสียเกาะกูด และสิทธิเหนืออาณาเขตทางทะเลในอ่าวไทยให้แก่กัมพูชาหรือไม่นั้น
หากพิจารณาตามข้อเท็จจริงแล้ว MOU 2544 ที่เกิดขึ้นในรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตรนั้น แท้จริงแล้ว เป็นการดำเนินการที่ต่อเนื่องมาจาก MOU 2543 ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย เพื่อให้เกิดการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนระหว่างไทย และกัมพูชา
เนื่องจากว่ากัมพูชาอ้างสิทธิแต่ฝ่ายเดียว (Unilateral Claim) ในปี 2515 โดยลากเส้นไหล่ทวีปด้านเหนือผ่ากลางเกาะกูด และไทยตอบโต้กลับด้วยการอ้างสิทธิฝ่ายเดียวบ้างในปี 2516 จนทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
และหลังจากนั้น กัมพูชาเกิดปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ จนไม่สามารถเกิดการเจรจาใด ๆ กับไทยได้อีก จนกระทั่งสถานการณ์ภายในของกัมพูชาสงบลง ประกอบกับรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ซึ่งมีนโยบาย “เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า”
กระทรวงต่างประเทศของทั้ง 2 ฝ่ายเริ่มความพยายามในการเจรจาแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่อาณาเขตระหว่างกัน โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญทั้งฝ่ายกฎหมายต่างประเทศ, ฝ่ายความมั่นคง และทางแผนที่ร่วมการเจรจา จนเป็นที่มาของ MOU 2543 และ 2544 ในที่สุด
เมื่อมาถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในปี 2552 และรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปี 2557 ทั้ง 2 รัฐบาลต่างก็มีการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับ MOU 2544 และไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมืองแต่อย่างใด
จนล่าสุด เมื่อรัฐบาล น.ส. แพทองธารหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น กลับกลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรง
กระแสความไม่ไว้วางใจใน MOU 2544 นั้นเกิดขึ้นจากกระแสความไม่พอใจในการบริหารราชการแผ่นดินของนายทักษิณ ชินวัตร บิดาของ น.ส. แพทองธาร นายกฯ คนปัจจุบัน ซึ่งนำไปสู่การประท้วงต่อต้านรัฐบาลนายทักษิณ และการรัฐประหารปี 2549 จนนายทักษิณต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ
สิ่งที่เป็นเหมือนการสาดน้ำมันลงกองไฟ ที่ทำให้คนไทยไม่ไว้วางใจ MOU 2544 มากยิ่งขึ้นกว่าเดิมนั้น มาจากพฤติกรรมของนายทักษิณหลังจากนี้เอง
โดยนายทักษิณ เข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมีสมเด็จฮุนเซ็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเวลานั้น เป็นผู้ลงนามแต่งตั้งในปี 2552 อีกทั้งนายทักษิณเองยังใช้กัมพูชาเป็นพื้นที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงเวลานั้น
อีกทั้งในระหว่างปี 2551 – 2554 ไทยและกัมพูชาเกิดความขัดแย้งในกรณี “เขาพระวิหาร” จนถึงขั้นมีการปะทะกันด้วยกำลังทหาร ซึ่งข้อพิพาทในครั้งนี้จบลงด้วยการที่ไทยต้องเสียดินแดนเหนือปราสาทพระวิหารไป
ซึ่งทำให้มีการกล่าวโทษว่าเป็นความผิดพลาดของนายนพดล ปัทมะ รมว. ต่างประเทศในรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชน (พรรคการเมืองก่อนหน้าที่จะถูกยุบพรรค และแปรสภาพมาเป็นพรรคเพื่อไทยในปัจจุบัน)
แต่หลังการสูญเสียดินแดนในครั้งนั้น กลับมีการจัดงานชุมนุมคนเสื้อแดงที่จังหวัดเสียมราฐ กัมพูชา ในปี 2555 อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งมีนายทักษิณ,แกนนำคนสำคัญ และคนเสื้อแดงเข้าร่วมนับหมื่น อีกทั้งยังมีการแต่งเพลง “บุญคุณฮุนเซ็น” เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณนายฮุน เซ็น ที่อำนวยความสะดวกในการจัดงานในครั้งนี้
อีกทั้งชื่อเมืองเสียมราฐนั้น ในภาษาเขมรนั้นคือ “เซียมเรียบ” ซึ่งมีความหมายว่า “สยามราบ” หรือ “สยามพ่ายแพ้ราบเรียบ ทำให้เกิดความรู้สึกตอกย้ำเหตุการณ์สูญเสียดินแดนให้แก่กัมพูชาก่อนหน้านี้มากขึ้นไปจากเดิม
และในปี 2556 น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ บุตรสาวของนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ แต่งงานกับลูกชายของคนสนิทของนายฮุน เซ็น ซึ่งนี่ยิ่งกลายเป็นประเด็นตอกย้ำถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างตระกูลชินวัตร กับนายฮุนเซ็น อีกทั้งครอบครัวชินวัตร ยังไปลงทุนในกัมพูชาอีกมากมาย ตั้งแต่ปี 2535 อีกด้วย
ภายหลังจากที่นายทักษิณกลับเมืองไทย และได้รับการพักโทษ สามารถออกจากการควบคุมตัวของกรมราชทัณฑ์ได้ อีกทั้ง น.ส. แพรทองธารเองก็เพิ่งจะขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ นายฮุนเซ็น กลับเข้าเยี่ยมพบนายทักษิณแทบจะทันทีที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
และมีการถ่ายภาพร่วมกันระหว่างฮุนเซ็น-ทักษิณ-แพทองธาร ซึ่งภาพนี้เป็นภาพที่จุดประเด็นความไม่ไว้วางใจในรัฐบาล น.ส. แพทองธาร ในการเจรจาผลประโยชน์ของชาติกับรัฐบาลกัมพูชามากขึ้นกว่าเดิม
— อดีตที่ไล่ล่าพรรคเพื่อไทย —
ไม่ว่าจะประเด็นประธานบอร์ด ธปท. และ MOU 2544 จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 เรื่องนั้นมีประวัติที่ยาวนานนับทศวรรษ ผ่านมาแล้วหลายรัฐบาลโดยไม่เกิดเป็นประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง
แต่เมื่อมาถึงรัฐบาลพรรคเพื่อไทยภายใต้การนำของ น.ส. แพทองธารกลับมีปัญหาทั้งคู่ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนแต่เกิดขึ้นจากการกระทำในอดีตของแกนนำพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น ซึ่งเรื่องนี้นั้นโดยหลักการแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร แต่ปมปัญหาที่แท้จริงนั้น มาจากความไม่ไว้วางใจในพรรคเพื่อไทย
ทางออกของเรื่องนี้นั้น พรรคเพื่อไทยจำเป็นที่จะต้องหาทางออกด้วยการสร้างความไว้วางใจให้แก่ประชาชนให้ได้ หรือวางมือจากเรื่องนี้หันไปทำเรื่องอื่นที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติไม่แพ้กันไปก่อน
ส่วนเรื่องนี้นั้นจะจบลงอย่างไร ต้องติดตามกันต่อไป