
“APEC” ความเป็นมาขององค์กรเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่มีความสำคัญระดับโลก
จากกระแสสังคมต่อการประชุมเอเปค 2022 ในไทยที่มีการกล่าวถึงอย่างแพร่หลาย ซึ่งครั้งนี้ไทยได้กลับมาเป็นเจ้าภาพอีกครั้งหลังจากที่เคยเป็นเจ้าภาพในปี พ.ศ.2546 ผ่านมาเกือบ 2 ทศวรรษ จึงได้กลับมาเป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งนี้อีกครั้ง
จุดเริ่มต้นขององค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกนั้น เกิดจากแรงจูงใจที่ต้องการสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่มีสัดส่วนขนาดของเศรษฐกิจค่อนข้างสูงในระบบเศรษฐกิจโลก และยังประกอบด้วยประเทศมหาอำนาจในทางเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมทั้งประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับสูง
สมาชิกขององค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกในช่วงเริ่มแรกที่มีการก่อตั้งในปี พ.ศ.2532 มีทั้งหมด 12 เขตเศรษฐกิจ คือ สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไทย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และบรูไน ซึ่งเป็นสัดส่วนขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่อยู่แล้วในสัดส่วนของเศรษฐกิจโลกในช่วงเวลานั้น
รวมทั้งในช่วงเวลาต่อมา ได้มีสมาชิกเพิ่มเติมเข้ามามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จีน จีนไทเป ฮ่องกง ชิลี เม็กซีโก ปาปัวนิวกินี เปรู รัสเซีย และเวียดนาม โดยข้อสังเกตสำคัญคือ แทนที่จะใช้คำว่า “ประเทศ” กลับใช้คำว่า “เขตเศรษฐกิจ” ซึ่งเป็นการอธิบายถึงระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่เป็นอิสระต่างหาก โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นประเทศที่มีอธิปไตยเป็นของตนเองแต่อย่างใด
ในกรณีนี้จึงตรงกับฮ่องกงที่มีระบบเศรษฐกิจเป็นของตนเองในฐานะเขตปกครองพิเศษฮ่องกง แต่ในยังอยู่ในประเทศเดียวกันกับจีน จึงทำให้ฮ่องกงเป็นอีกเขตเศรษฐกิจในองค์กรเอเปค ในขณะเดียวกัน กรณีของจีนไทเปนั้น การใช้คำว่าเขตเศรษฐกิจย่อมเป็นการหลีกเลี่ยงข้อขัดแย้งทางการเมืองระหว่างจีนกับไต้หวัน และมุ่งเจาะจงที่ประเด็นเศรษฐกิจเป็นหลักซึ่งทำให้ทุกประเทศสมาชิกยังคงสามารถตกลงประเด็นร่วมกันได้
และยังเป็นความร่วมมือที่ต่างจากองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ตรงที่ว่า เอเปคจะไม่ใช่เวทีเจรจาทางการค้าแต่จะเป็นเวทีที่ใช้สำหรับการปรึกษาหารือเกี่ยวกับประเด็นทางเศรษฐกิจที่ประเทศสมาชิกสนใจ และมุ่งเน้นการใช้ระบบสมัครใจในการตัดสินใจต่าง ๆ โดยไม่มีผลผูกพันในทางกฎหมาย ทำให้มีความอิสระในการตัดสินใจเชิงนโยบายในการร่วมเวทีทางเศรษฐกิจนี้
นอกจากนี้ อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญ คือ เอเปคเน้นการสนับสนุนแนวทางองค์กรแบบเปิด ที่มุ่งเน้นการให้สิทธิประโยชน์กับเขตเศรษฐกิจที่เป็นสมาชิกในระดับพอ ๆ กับประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกเอเปค ด้วยจุดประสงค์สำคัญคือ การขยายตลาดทางเศรษฐกิจและการลดข้อจำกัดทางเศรษฐกิจลง ที่เป็นแกนกลางสำคัญขององค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกในการพัฒนาและส่งเสริมการค้า
รวมทั้งการลดอุปสรรคทางการค้าลง เพื่อเป็นการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจในกลุ่มสมาชิกและนอกกลุ่มสมาชิกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าเสรีแบบสมัครใจในกลุ่มเขตเศรษฐกิจสมาชิก เพื่อเป็นแรงจูงใจให้เกิดการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจในบรรดาประเทศนอกสมาชิกในอนาคต
ทั้งหมดนี้ จึงทำให้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกเป็นความร่วมมือที่สามารถเข้าถึงได้ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ภายใต้แนวคิดการส่งเสริมการค้าแบบพหุภาคีหรือระบบการค้าแบบกลุ่ม แทนที่จะเป็นระบบการค้าแบบทวิภาคีหรือระบบการค้าแบบประเทศต่อประเทศ ที่มีข้อจำกัดในการบรรลุการตกลงเห็นพ้องกันและผลประโยชน์ร่วมกันที่จะได้รับจากการตกลงดังกล่าว
สำหรับประเทศที่ต้องพึ่งพิงการค้าระหว่างประเทศในระดับสูงและมีเป้าหมายในการลดข้อจำกัดของการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศลง การเกิดขึ้นของความร่วมมือทางเศรษฐกิจแบบพหุภาคีจึงเป็นประโยชน์เป็นอย่างยิ่งในการส่งเสริมระบบการค้าเสรีที่มีการผลักดันในช่วงระยะหลัง ๆ มานี้ โดยออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาในตอนนั้นที่ต้องการส่งเสริมการค้าเสรีในช่วงเวลานั้น
ณ จุดนี้ จึงทำให้เกิดข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการอำนวยความสะดวกในการค้าการลงทุนเป็นจำนวนมากจากการประชุมเอเปคในแต่ละครั้ง เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงตลาดเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่ร่วมกัน ลดอุปสรรคและข้อจำกัดทางเศรษฐกิจที่มีอยู่ และสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการภายในภูมิภาค ที่กลายเป็นตัวอย่างสำคัญขององค์กรระหว่างประเทศที่เปิดกว้างและสมัครใจมาตั้งแต่เริ่มแรก
สุดท้ายนี้ การเกิดขึ้นของภาคีความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิก (APEC) ในฐานะองค์กรระหว่างประเทศที่มีรูปแบบไม่ผูกมัดและเน้นความสมัครใจในการบรรลุเป้าหมายนั้น ถือได้ว่าประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งจากกลุ่มประเทศสมาชิกที่มีสัดส่วนขนาดเศรษฐกิจโลกในระดับค่อนข้างสูง และมีการบรรลุจุดประสงค์ร่วมกันที่นำไปสู่ข้อตกลงในทางเศรษฐกิจมากมายที่ได้เกิดขึ้นจากการประชุมดังกล่าว และการประชุมในปี พ.ศ.2565 ที่กรุงเทพมหานคร ครั้งนี้ ก็จะยิ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของเอเปคที่มีอยู่ต่อไป
โดย ชย
ด้วยเอกลักษณ์ของบริบท ประเทศไทยจึงควรเป็น ประชาธิปไตยแบบ “สั่งตัดพอดีตัว”
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม