Volkswagen พิจารณา ปิดโรงงานในเยอรมนีเพื่อลดต้นทุน พร้อมยอมรับเยอรมนีกำลังล้าหลังในด้านการแข่งขัน

Volkswagen (VW) ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี กำลังพิจารณาปิดโรงงานในเยอรมนีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 87 ปีของบริษัท โดยวางแผนจะปิดโรงงานผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่ 1 แห่ง และโรงงานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ 1 แห่ง รวมถึงการยกเลิกข้อตกลงเรื่องค่าจ้างที่เคยตกลงไว้กับสหภาพแรงงาน

“สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจยิ่งยากลำบากมากขึ้น และผู้เล่นรายใหม่กำลังบุกเข้ามาในยุโรป” “เยอรมนีในฐานะที่ตั้งธุรกิจกำลังล้าหลังลงเรื่อยๆ ในแง่ของความสามารถในการแข่งขัน” Oliver Blume ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ VW กล่าวในแถลงการณ์

ราคาหุ้นของ Volkswagen ปิดสูงขึ้น 1.2% หลังข่าวดังกล่าว ปีที่ผ่านมามูลค่าบริษัทลดลงเกือบ 3 ใน 5 ปี ทำให้กลายเป็นบริษัทที่มีผลงานแย่ที่สุดในบรรดาผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของยุโรป

การเพิ่มผลตอบแทนของ Volkswagen กลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น เนื่องจากต้นทุนด้านโลจิสติกส์ พลังงาน และแรงงานที่พุ่งสูงขึ้น โดยอัตรากำไรของบริษัทลดลงเหลือ 2.3% ในช่วงครึ่งปีแรก เมื่อเทียบกับ 3.8% เมื่อปีที่แล้ว

นอกจากนี้ บริษัทยังเสียโมเมนตัมในตลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างจีนด้วย โดยรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่างๆ ตามหลังคู่แข่งอยู่ไกลมาก ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกของจีนกำลังบุกเข้าสู่ยุโรป

Volkswagen จ้างพนักงานประมาณ 650,000 คนทั่วโลก ในจำนวนนี้เกือบ 300,000 คน อยู่ในเยอรมนี ซึ่งตัวแทนแรงงานถือครองที่นั่งในคณะกรรมการกำกับดูแลบริษัทอยู่ครึ่งหนึ่ง และรัฐโลว์เออร์แซกโซนีของเยอรมนี ซึ่งถือหุ้น 20% มักจะเข้าข้างสหภาพแรงงาน

ข้อพิพาทด้านแรงงานที่บานปลายจะเป็นการทดสอบครั้งสำคัญสำหรับ Oliver Blume ซีอีโอคนปัจจุบัน  หลังจากที่ความขัดแย้งก่อนหน้านี้ทำให้ผู้บริหารระดับสูงหลายคนต้องลาออกจากตำแหน่ง

แผนดังกล่าวมีความเสี่ยงที่จะทำให้เศรษฐกิจในเยอรมนีตกต่ำลง ซึ่งบริษัทอุตสาหกรรมต่างๆ กำลังควบคุมการลงทุน มูลค่าตลาดของ Volkswagen ลดลงเหลือประมาณ 51,000 ล้านยูโร (1.93 ล้านล้านบาท) แม้ว่าบริษัทจะยังคงทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 22,600 ล้านยูโร (8.56 แสนล้านบาท) ในปีที่แล้ว

รัฐบาลผสมของเยอรมนีที่ไม่เป็นที่นิยมซึ่งนำโดยพรรค Social Democrats (SPD) ของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ โชลซ์ เผชิญกับความขัดแย้งภายในจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สร้างความหายนะ เมื่อปีที่แล้ว รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกมาตรการสนับสนุนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าอย่างกะทันหัน ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรปตกต่ำอย่างหนัก

(1 ยูโร = 37.89 บาท)