ทุกคนต้องจ่ายภาษี แต่ภาษีบางชนิด ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องจ่าย
เมื่อพูดถึง “ภาษี” คนจำนวนหนึ่งอาจรู้สึกว่าเป็น “ภาระ” แต่ในอีกมุมหนึ่ง ภาษีนั้นคือ “หน้าที่” ที่คนในสังคมทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดชอบมาก-น้อยแตกต่างกันไป ซึ่งความแตกต่างตรงนี้เองที่ควรจะทำความเข้าใจว่า ใครและคนกลุ่มไหนในสังคมจะต้องเสียภาษีตัวไหน ประเภทไหน เพราะภาษีนั้นมีหลากหลายและไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องจ่ายทุกชนิด
.
โดยก่อนจะเข้าใจถึงภาษีประเภทต่าง ๆ เราอาจจะต้องไปทำความรู้จักกับหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีเสียก่อน โดยหลัก ๆ แล้วจะมีอยู่ 4 หน่วยงานคือ 1. กรมสรรพากร 2. กรมสรรพสามิต 3. กรมศุลกากร และ 4. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือ สำนักงานเขต
.
เมื่อทำความรู้จักกับหน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีแล้ว ก็จะทำให้เราพอจะเห็นภาพคร่าว ๆ ถึงประเภทของภาษีชนิดต่าง ๆ ได้ โดยทั้ง 4 หน่วยงานนั้นจัดเก็บภาษีแตกต่างกันไป กล่าวคือ
.
กรมสรรพากรจัดเก็บภาษีอากรจากรายได้และการสร้างผลประโยชน์ต่าง ๆ ของประชากรในประเทศ โดยจะดำเนินการจัดเก็บภาษี 5 ประเภท คือ 1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (Personal Income Tax ; PIT) 2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (Corporate Income Tax; CIT) 3. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (Value Added Tax ; VAT) 4. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (Specific Business Tax ; SBT) และ 5. อากรแสตมป์ (Stamp Duty ; SD)
.
ซึ่งในกลุ่มภาษีอากรทั้ง 5 ประเภทนี้ เราจะเห็นมีเพียง 2 ประเภทที่เกี่ยวข้องกับประชาชนทั่วไปโดยตรง นั่นคือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งจัดเก็บกับบุคคลที่ประกอบอาชีพและทำงานต่าง ๆ ที่มีรายได้ และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งจัดเก็บกับการบริโภคสินค้าต่าง ๆ เมื่อมีการซื้อ-ขายปลีกและซื้อ-ขายส่ง
.
ในขณะที่ภาษีอากรชนิดอื่น ๆ นั้นก็เป็นภาษีที่ประชาชนหรือบุคคลทั่วไปไม่ได้มีหน้าที่จะต้องเสีย อย่างภาษีเงินได้นิติบุคคล ก็จะต้องเป็นนิติบุคคล (เช่น ห้างหุ้นส่วน หรือ บริษัทจำกัด) ถึงจะมีหน้าที่เสียภาษีประเภทนี้ หรืออย่างกรณีของภาษีธุรกิจเฉพาะนั้นก็ระบุเจาะจงลงไปอีกว่าเป็นธุรกิจต่อไปนี้เท่านั้นที่จะต้องเสียภาษีประเภทนี้ คือ การธนาคาร, การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ (Credit Foncier), การรับประกันชีวิต, การรับจำนำ, การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์, หรือ การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นการค้าหรือหากำไร หรืออากรแสตมป์นั้นก็เป็นการจัดเก็บต่อธุรกรรมเฉพาะกรณีไป โดยมี 28 ลักษณะ เช่น ตราสารเช่าที่กับโรงเรือน เช่าซื้อทรัพย์สิน จ้างทำของ กู้ยืมเงิน เป็นต้น
.
ต่อมาคือกรมสรรพสามิต ที่จัดเก็บภาษีสรรพสามิต ซึ่งคือภาษีเรียกเก็บจากสินค้าและบริการบางประเภท โดยเฉพาะสินค้าที่อาจมีผลเสียต่อสุขภาพของผู้บริโภคหรือต่อศีลธรรมอันดีของสังคม, สินค้าที่มีลักษณะเป็นการฟุ่มเฟือย, สินค้าที่ได้รับผลประโยชน์เป็นพิเศษจากรัฐ, สินค้าที่ก่อให้เกิดภาระต่อรัฐบาลในการที่จะต้องสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างเพื่อให้บริการแก่ผู้บริโภค, หรือเป็นสินค้าก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
.
ซึ่งก็มีตั้งแต่ เครื่องดื่ม เช่น น้ำหวานหรือน้ำอัดลม, น้ำหอม หัวน้ำหอม หรือน้ำมันหอม, สุรา, ยาสูบ, และ ไพ่ แต่ก็รวมทั้ง น้ำมัน, รถยนต์, รถจักรยานยนต์ จนถึงเรือยอชต์และเรือสำราญ อีกทั้งยังรวมถึงสถานบริการอย่าง ไนต์คลับ, สถานอาบน้ำหรืออบตัว, สนามแข่งม้า, และ สนามกอล์ฟ อีกด้วย
.
โดยผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีสรรพสามิตนั้นได้แก่ 1. ผู้ผลิตหรือผู้ประกอบอุตสาหกรรม 2. ผู้ประกอบกิจการสถานบริการ 3. ผู้นำเข้าซึ่งสินค้า และ 4. บุคคลอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนด ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าประชาชนทั่วไปนั่นไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องเสียภาษีประเภทนี้โดยตรงเลย แต่อาจจะกล่าวได้ว่าเสียในทางอ้อมจากการรวมอยู่ในราคาขายที่ผู้ผลิตและผู้ค้าตั้ง เพราะทั้งนี้ทั้งนั้นภาษีสรรพสามิตมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการบริโภคสินค้าและใช้บริการต่าง ๆ เหล่านี้ และอาจกล่าวได้ว่าการเสียภาษีประเภทนี้จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้บริโภคนั้นเลือกหรือไม่เลือกซื้อหรือใช้บริการสิ่งเหล่านี้ เพราะถ้าเลือกก็เสีย แต่ถ้าไม่เลือก ก็ไม่ต้องเสีย
.
ในส่วนต่อมาคือภาษีศุลกากร ที่จัดเก็บโดยกรมศุลกากร ภาษีชนิดนี้น่าจะเป็นที่รู้จักและเข้าใจกันอยู่แล้วว่าคือภาษีที่จัดเก็บจากการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าที่มีการควบคุม ซึ่งก็มีรายละเอียดอยู่ว่าสิ่งใดที่จะต้องเสียภาษีประเภทนี้บ้าง อย่างภาษีศุลกากรขาเข้าก็จะมีการจัดเก็บต่อสินค้าหลากหลายชนิด แบ่งเป็น 21 หมวด เช่น สัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์, ผลิตภัณฑ์จากพืช, อาหารปรุงแต่ง เครื่องดื่ม สุรา และน้ำส้มสายชู ยาสูบ, ผลิตภัณฑ์แร่, ผลิตภัณฑ์เคมี, พลาสติกและยาง, หนังดิบ หนังฟอก และของที่ทำด้วยหนัง, ไม้และของที่ทำด้วยไม้, สิ่งทอและของทำด้วยสิ่งทอ, รองเท้า หมวก ร่ม, ของทำด้วยหิน, อัญมณี โลหะมีค่า ไข่มุก, เครื่องจักร เครื่องกล และอีกมากมายซึ่งแบ่งย่อยลงไปได้เป็นตอน ๆ อีกถึง 97 ตอน
.
และในส่วนภาษีศุลกากรขาออกก็จะมีการจัดเก็บกับสินค้าควบคุมหลายอย่าง แต่ปัจจุบันนั้นมีการยกเว้นจนเหลือเพียง 3 ประเภทเท่านั้นคือ หนังโคหรือหนังกระบือ, ไม้ ไม้แปรรูป และของที่ทำด้วยไม้ และของส่งออกจากพื้นที่พัฒนาร่วมตามกฎหมายว่าด้วยองค์กรร่วมไทย-มาเลเซีย
.
ดังนั้นในส่วนของภาษีศุลกากรก็ถือว่าเป็นภาษีที่จัดเก็บเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการส่งออกหรือนำเข้าสินค้าควบคุมต่าง ๆ ที่ถูกกำหนด โดยเป้าหมายหลักของการจัดเก็บภาษีประเภทนี้นั่นก็เพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมในประเทศไม่ให้ถูกแข่งขันจากสินค้าจากต่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนให้มีการบริโภคภายในประเทศ เพื่อเม็ดเงินไม่ไหลออกนอกประเทศอีกด้วย
.
ท้ายสุดในส่วนของภาษีท้องถิ่น ซึ่งจัดเก็บโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) หรือ สำนักงานเขต ซึ่งภาษีท้องถิ่นนั่นก็อาจจะเป็นภาษีอีกหนึ่งประเภทที่ใกล้ตัวบุคคลทั่วไปมากที่สุด โดยภาษีท้องถิ่นนั่นประกอบด้วย ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, ภาษีบำรุงท้องที่, ภาษีป้าย, อากรฆ่าสัตว์ เป็นต้น ทั้งนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ ก็อาจจะมีอำนาจจัดเก็บภาษีประเภทอื่น ๆ ตามที่มีกฎหมายระบุไว้ด้วย
.
จากภาษีที่มีอยู่มากมายหลายชนิด เกี่ยวข้องกับธุรกิจและอุตสาหกรรมหลากหลายกลุ่ม และเกี่ยวข้องกับสินค้าหลากหลายแบบ เราจะเห็นได้ว่าการเสียภาษีชนิดต่าง ๆ นั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานะและกิจกรรมของแต่ละบุคคลในสังคม
หากจะยกตัวอย่าง ถ้าประชาชนธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจใด ๆ ไม่ได้เป็นผู้นำเข้าหรือส่งออก หรือการผลิตสินค้าใด ๆ เขาคนนั้นก็ไม่มีหน้าที่ในการจ่ายภาษีสรรพสามิตหรือภาษีศุลกากรใด ๆ
.
หรือหากเราเป็นประชาชนที่ไม่ได้บริโภคสินค้าหรือใช้บริการบางประเภทที่อยู่ในข่ายการจัดเก็บภาษีสรรพสามิต เช่น ถ้าหากเราไม่ได้เข้าสถานบันเทิงต่าง ๆ ก็ไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตที่มาพร้อมกับค่าบริการนั้น ๆ หรือหากไม่ได้ดื่มสุรา ก็ไม่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสุรา หรือหากเป็นผู้ที่ไม่ได้ใช้รถโดยสารส่วนตัว แต่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะต่าง ๆ แทนก็ไม่จำเป็นจะต้องเสียภาษีสรรพสามิตน้ำมัน เป็นต้น
.
สุดท้ายนี้ เราอาจจะต้องทำความเข้าใจว่าภาษีคือ “ภาระหน้าที่” ที่คนในสังคม ทั้งปัจเจกบุคคลและผู้ประกอบธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นรายรับให้ภาครัฐนำไปดำเนินการและให้บริการต่าง ๆ กับประชาชน รวมถึงเป็นงบประมาณของโครงการต่าง ๆ เช่น การลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาประเทศ ภาษีจึงเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมต้องร่วมแรงร่วมใจกันสนับสนุนเพื่อให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ต่อไป
อ้างอิง :
[1] https://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/pit/1.pdf
[2] https://www.rd.go.th/683.html
[3] https://www.rd.go.th/764.html
[4] https://webdev.excise.go.th/aec-law/th/excise-th-thailand.php
[5] https://ms.udru.ac.th/FNresearch/assets/pdf/ch14.pdf
[6] https://www.rd.go.th/publish/fileadmin/user_upload/morkor/km/guidebook/Local_Administrator.pdf
จุดจบของความดื้อรั้น (การเปลี่ยนยุค และความพร้อมในการเปลี่ยนแปลง)
วันที่กลุ่มความหลายหลายทางเพศ ถูกตีตรา ‘อาชญากรรมของรัฐ’ โดยผู้ปกครองคอมมิวนิสต์รัสเซีย
วิเคราะห์สรุปบทบาทของแต่ละพรรค ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งผ่านพ้นไป ตลอดจนถึงผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรมของรัฐบาลประยุทธ์ อย่างการได้เลื่อนอันดับเป็น Tier2 ด้านการปราบปรามการค้ามนุษย์
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม