ด้อยค่าวัคซีนโควิด-19 จีน อดีตเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐฯ เผยกองทัพทำ IO เพื่อด้อยค่า Sinovac ในช่วงโควิดระบาด
มาร์เซลโล เฟอร์ราดา เดอ โนลี (Marcello Ferrada de Noli) ศาสตราจารย์กิตติคุณด้านระบาดวิทยา และอดีตนักวิจัยที่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (HMS) กล่าวกับ RT ว่าปฎิบัติการข่าวปลอมบนสื่อสังคมออนไลน์โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) ซึ่งมุ่งเป้าไปที่วัคซีนโควิด-19 ของจีน มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นกรณีพยายามสกัดการแข่งขันจากคู่แข่ง
รอยเตอร์ รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยอ้างคำพูดของอดีตเจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐฯ ว่า กองทัพสหรัฐฯ ได้เริ่มยุทธการบิดเบือนข้อมูลอย่างลับๆ เพื่อด้อยค่าวัคซีน Sinovac ของจีนระหว่างปี 2020-2021
ยุทธการนี้มุ่งเน้นไปที่ฟิลิปปินส์ โดยใช้บัญชีโซเชียลมีเดียปลอมที่แอบอ้างเป็นชาวฟิลิปปินส์วิพากษ์วิจารณ์วัคซีนจีน รวมถึงชุดทดสอบและหน้ากากอนามัยที่ผลิตในจีน ต่อมายุทธการบิดเบือนข้อมูลได้ขยายไปยังส่วนอื่นๆ ของเอเชียและตะวันออกกลาง
ศาสตราจารย์โนลี กล่าวว่า แม้ว่าการรณรงค์ต่อต้านวัคซีนมักมีจุดมุ่งหมายเพื่อขัดขวางการรับวัคซีนโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ในกรณีของวัคซีนจีนและรัสเซียกลับกลายเป็นประเด็นของการแข่งขันมากกว่า
“ผมเชื่อว่าจุดประสงค์คือ เพื่อกีดกันแบรนด์วัคซีนที่ผลิตในรัสเซียและจีน เพื่อที่จะขายวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทอเมริกันหรือบริษัทในเครือของพวกเขาในยุโรปแก่ประเทศเหล่านั้น” พร้อมกับเน้นย้ำว่า ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป มี “สัญญาโดยตรงกับบริษัทยายักษ์ใหญ่”
ศาสตราจารย์โนลี กล่าวต่อไปว่า ปฏิบัติการเพื่อทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของวัคซีนที่ผลิตในจีนหรือรัสเซียนั้น มีมากกว่าที่รอยเตอร์หยิบยกมารายงาน ตัวอย่างเช่น รายงานของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์สหรัฐฯ ซึ่งเปิดเผยว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุข (HHS) ของสหรัฐฯ ในสมัยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามกีดกันบราซิลไม่ให้ซื้อวัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย
ซึ่งศาสตราจารย์โนลี ระบุว่า กรณีดังกล่าวถือเป็นเรื่องร้ายแรงอย่างมากจากมุมมองทางโรคระบาดวิทยาและการควบคุมการแพร่เชื้อ เนื่องจาก Sputnik V เป็นวัคซีนตัวแรกของโลกและมีประสิทธิผลอย่างชัดเจน
ตามรายงานของรอยเตอร์ ระบุว่า ยุทธการมุ่งเป้าเล่นงาน Sinovac เริ่มต้นภายใต้รัฐบาลของทรัมป์และยังคงเดินหน้าต่อไปจนถึงยุคของประธานาธิบดีไบเดน ก่อนที่จะยุติลงในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2021
โฆษกของทรัมป์และไบเดน ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของกระทรวงกลาโหมรายหนึ่งยอมรับว่ามียุทธการดังกล่าวจริง แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม