บริษัทอเมริกันกังวลเรื่อง การขึ้นภาษีนำเข้าของทรัมป์ หวั่นทำให้ราคาสินค้าและเงินเฟ้อปรับตัวพุ่งสูงขึ้น
ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ กำลังจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด หลังว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะขึ้นภาษีสินค้านำเข้า เมื่อเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในเดือน ม.ค. 2025 โดยหลายคนได้แสดงความกังวลว่ามาตรการภาษีของทรัมป์จะมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศ
Walmart ผู้ค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ ได้แสดงความกังวลในเรื่องดังกล่าว หลังจากแถลงผลประกอบการในวันอังคาร (19 พ.ย.) ว่าราคาสินค้าอาจปรับตัวสูงขึ้นหากมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า
“เรากังวลว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญอาจนำไปสู่ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นสำหรับลูกค้าของเราในช่วงเวลาที่พวกเขายังคงรู้สึกถึงผลกระทบที่หลงเหลืออยู่ของเงินเฟ้อ” โฆษกของ Walmart กล่าว
ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง ทรัมป์ เคยให้คำมั่นว่าหากได้เป็นปธน.สมัยที่ 2 จะจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 20% สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศ และกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าจากจีนไว้ที่ 60% รวมถึงจะเรียกเก็บภาษีนำเข้ารถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโกสูงถึง 100% เพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ
ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย. ผู้บริหารจากบริษัทเกือบ 200 แห่งในดัชนี S&P 1500 ต่างได้หารือเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าของทรัมป์ในการแถลงผลประกอบการ หรือในการประชุมร่วมกับนักลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2020 ตามข้อมูลของ LSEG
Oxford Economics ประมาณการว่าการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนในอัตรา 60% อาจทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ปรับตัวพุ่งขึ้น 0.7% ขณะที่การเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 10% หรือสูงกว่า สำหรับสินค้าที่นำเข้าจากทุกประเทศ จะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น 0.3%
ข้อมูลจากสำนักงานสำมะโนประชากรของสหรัฐฯ (USCB) ระบุว่า การนำเข้าสินค้าจากจีนของสหรัฐฯ พุ่งสูงถึง 538,500 ล้านดอลลาร์ (18.62 ล้านล้านบาท) ในปี 2018 และอยู่ที่ 433,300 ล้านดอลลาร์ (14.98 ล้านล้านบาท) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุดเดือน ก.ย.)
(1 ดอลลาร์ = 34.59 บาท)