
นโยบายเศรษฐกิจสุดบ้าคลั่ง ฉีดเงินเข้าระบบอย่างบ้าเลือด จนระบบเศรษฐกิจล่มสลาย
ครั้งหนึ่ง เคยมีประเทศหนึ่งในโลกที่เคยรุ่งโรจน์ในเรื่องเศรษฐกิจ จากการส่งออกปิโตรเลียมสู่ตลาดโลก จนกลายเป็นความฟุ่มเฟือยที่บ้าคลั่งบนพื้นฐานของการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจเพื่อปรนเปรอประชาชนให้มีความสุขและกลายเป็นฐานเสียงทางการเมืองในการอุ้มชูตนเองให้ยังคงได้รับการเลือกตั้งอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายเมื่อราคาพลังงานตกต่ำอย่างรวดเร็ว จึงได้แปรสภาพความรุ่งโรจน์กลายเป็นความตกต่ำภายในช่วงไม่กี่ปีและทำลายวิถีชีวิตสุขสบายของประชาชนอย่างย่อยยับ
นั้นคือ ประเทศเวเนซุเอลา ที่เมื่อในปัจจุบันก็ยังประสบวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศ แต่จริง ๆ แล้ว เวเนซุเอลาได้อยู่ในวงจรขึ้น ๆ ลง ๆ 2 รอบด้วยกัน คือ รอบแรกในช่วงศตวรรษที่ 20 และรอบสองในช่วงศตวรรษที่ 21 ที่ยังมีผลมาถึงปัจจุบัน ซึ่ง ณ ที่นี้ จะกล่าวถึงวงจรเศรษฐกิจของเวเนซุเอลาในรอบแรกที่ถือว่าจัดหนัก จัดเต็มระบบ และควรค่าต่อการจดจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลายสิบปีในวงจรการขึ้นลงของเศรษฐกิจเวเนซุเอลานั้น เป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยบทเรียนอันมีค่าในเรื่องระบบเศรษฐกิจมหภาคได้เป็นอย่างดี
ก่อนอื่นเลย ต้องย้อนกลับไปตอนต้นศตวรรษที่ 20 ที่เวเนซุเอลาได้มีการค้นพบสำรวจน้ำมันปิโตรเลียมและเริ่มต้นการหารายได้จากปิโตรเลียมเข้าประเทศอย่างจริงจังได้ส่งผลกระทบสำคัญคือ การแปรสภาพประเทศที่เคยพึ่งพิงภาคเกษตรกรรมเพื่อการส่งออกที่มีความหลากหลายสูงกลายเป็นประเทศที่พึ่งพิงภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียมอย่างช้า ๆ ด้วยสาเหตุสำคัญดังนี้
เหตุผลแรก คือ ปิโตรเลียมของเวเนซุเอลาที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลกได้มีระดับราคาที่สูงขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 และช่วงถัดจากนี้ ซึ่งทำให้มีรายได้เข้ามาในประเทศเป็นจำนวนมากพร้อมกับสกุลเงินท้องถิ่นที่แข็งค่าขึ้นมาก ซึ่งทำให้การส่งออกสินค้าจะแพงกว่าปกติมาก และทำให้ขีดความสามารถการแข่งขันของภาคการเกษตรเพื่อการส่งออกด้อยลง ประกอบกับการนำเข้าสินค้าจะถูกกว่าปกติมาก ซึ่งเป็นการสร้างแรงจูงใจให้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากกว่าที่จะใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศ
ถัดมา คือ การที่ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียมได้สร้างรายได้เป็นจำนวนมากก็ได้เป็นแรงจูงใจให้คนในภาคส่วนอื่น ๆ เข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในฐานะรายได้หลักของประเทศเพราะมีรายได้ประจำที่สูงกว่าภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ประกอบกับภาคเศรษฐกิจอื่นได้ซบเซาลงเรื่อย ๆ จากโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีการพึ่งพิงปิโตรเลียมในระดับสูง ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลกระทบส่วนหนึ่งจาก “คำสาปทรัพยากร” ที่ทำให้ภาคส่วนเศรษฐกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับทรัพยากรสำคัญค่อย ๆ สูญเสียขีดความสามารถไปเรื่อย ๆ
และจังหวะดีของเวเนซุเอลาก็ได้มาถึงในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ความต้องการปิโตรเลียมพุ่งทะยานสุดขีด และมีการปรับแก้กฎหมายเรื่องรายได้ปิโตรเลียม ให้ภาครัฐได้รับส่วนแบ่งรายได้ร้อยละ 50 ของการสำรวจปิโตรเลียมทั้งหมด ทำให้เวเนซุเอลาตั้งแต่ช่วงนี้เป็นต้นมาจะเริ่มเข้าสู่ยุคทองทางเศรษฐกิจที่ได้สั่งสมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานประเทศ การริเริ่มระบบสวัสดิการรัฐ ก็ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วจากรายได้ที่มีอยู่มหาศาล
รวมทั้งในภายหลัง ก็ได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการริเริ่มองค์กรระหว่างประเทศที่ทำหน้าที่ควบคุมและรักษาระดับราคาปิโตรเลียมอย่าง OPEC ที่เป็นความร่วมมือระหว่างประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียมในช่วงนั้นแทบทั้งหมดจากการนำของเวเนซุเอลาและชาติตะวันออกกลางเป็นส่วนใหญ่
ไม่เพียงเท่านั้น เวเนซุเอลายังเข้าสู่ช่วงที่เรียกได้ว่า “ยุคทองของยุคทอง” อย่างแท้จริง ในช่วงทศวรรษ 1970 จากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในบรรดาชาติตะวันออกกลางกับบรรดาชาติตะวันตกอย่างรุนแรงก็ได้สร้างผลกระทบ 2 จุด คือ ราคาพลังงานในตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัวจากการคว่ำบาตรน้ำมันของชาติตะวันออกกลาง และ มุมมองของชาติตะวันตกที่มองว่าเวเนซุเอลาคือ แหล่งน้ำมันที่พึ่งพาได้ เมื่อเทียบกับแหล่งอื่น ๆ ในจังหวะที่เวเนซุเอลายังขายปิโตรเลียมให้แก่ชาติตะวันตกตามปกติ
จึงทำให้เวเนซุเอลาได้รับเงินเข้าประเทศแบบจุก ๆ และที่ว่า จุก ๆ ก็เพราะว่า ได้ส่งผลให้รัฐบาลเวเนซุเอลาต้องถึงขั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งใหญ่เนื่องจากการไหลเข้ามาของสกุลเงินดอลลาร์ที่เสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อในประเทศและการแข็งค่าของค่าเงินท้องถิ่นอย่างก้าวกระโดดจากทั้งสถานการณ์ภายในและภายนอกประเทศ ก็ยิ่งทำให้เงินทุนของเวเนซุเอลามีค่ามากขึ้นไปอีก ประกอบกับการทวงคืนการประกอบธุรกิจการค้าปิโตรเลียมของเอกชนส่วนหนึ่งให้อยู่ในการกำกับดูแลของภาครัฐอย่างสมบูรณ์
ทั้งหมดนี้จึงทำให้ เวเนซุเอลา เข้าสู่เทศกาลการอัดฉีดเงินเข้าระบบมหาศาลทั้งเพื่อการระบายเงินออกจากระบบ การพัฒนาประเทศในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการสร้างความนิยมทางการเมืองแบบสุดขีดผ่านการใช้สวัสดิการรัฐและการจ้างงานต่าง ๆ เพื่อรักษาฐานเสียงทางการเมืองของตนเองไว้
ไม่ว่าจะเป็นนโยบายบังคับให้ต้องมีพนักงานประจำอยู่ที่ห้องน้ำสาธารณะและลิฟท์อย่างน้อย 1 คนต่อจุด ภายใต้การสนับสนุนจากรัฐ การขยายตำแหน่งงานของภาครัฐเป็นจำนวนมากผ่านการพัฒนาโครงการอุตสาหกรรมที่ไม่ได้สร้างผลิตผลแต่เน้นการจ้างงานเป็นจำนวนมหาศาล การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นจำนวนมากซึ่งในบริษัทขนาดใหญ่ที่รัฐมีเอี่ยวและรัฐวิสาหกิจ ก็ได้รับเงินสนับสนุนจากภาครัฐโดยตรงเพื่อเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำโดยตรง และยังไม่รวมถึงการสร้างสวัสดิการรัฐแบบจัดหนักจัดเต็มแก่ประชาชนในประเทศ
แล้วความบ้าคลั่งยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีการออกกฎหมายควบคุมราคาพืชผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในประเทศให้มีราคาถูกเพื่อสนับสนุนคนเมือง ซึ่งเป็นการปิดฝาโลงอุตสาหกรรมการเกษตรแทบจะสมบูรณ์และทำให้ประเทศต้องพึ่งพิงการนำเข้าอาหารจากต่างประเทศแทบทั้งหมด รวมทั้งการออกกฎหมายห้ามบริษัทเอกชนไล่พนักงานออกหลังการปรับค่าแรงขั้นต่ำอย่างก้าวกระโดด แล้วทำให้บริษัทเอกชนอิสระที่ไม่ได้มีเอี่ยวกับภาครัฐต่างก็ล่มสลายแทบทั้งหมด เหลือเพียงภาครัฐและเครือข่ายเศรษฐกิจภาครัฐที่ยังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม ความบ้าคลั่งของการอัดฉีดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจก็ต้องประสบกับความท้าทายครั้งใหญ่จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกเริ่มไหลลงอย่างรวดเร็วในช่วงกลางทศวรรษ 1980 จากสถานการณ์ในภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีการเพิ่มกำลังผลิตน้ำมันปิโตรเลียมอย่างรวดเร็ว ได้ทำให้รายได้ของเวเนซุเอลาเริ่มลดลงเรื่อย ๆ และจากที่มีเงินมหาศาลก็เริ่มแทบหมดเงินแล้ว แต่ก็ได้ยื้อความบ้าคลั่งอย่างสุดกำลังด้วยการกู้เงินต่างประเทศมหาศาลเพื่อใช้จ่ายในภาครัฐจนหนี้สินต่างประเทศพุ่งทะยานไม่หยุดนิ่ง
จนสุดท้ายแล้ว เมื่อราคาน้ำมันยังไหลลงอย่างต่อเนื่องและเกิดการขาดแคลนเงินตราประเทศรุนแรงในเวลาต่อมา ก็จำใจต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงและตัดรายจ่ายภาครัฐเป็นจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่วิกฤตการเมืองและซ้ำเติมวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศที่หนักอยู่แล้วให้หนักไปอีกพร้อมกับหนี้สินมหาศาลที่พ่วงเข้ามาด้วย จนเมื่อเข้าช่วงทศวรรษ 1990 ก็ถือได้ว่า เวเนซุเอลาได้เข้าสู่ช่วงตกต่ำทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงและความเจริญรุ่งเรืองจอมปลอมที่เคยสร้างมาต่างก็พังทลายอย่างสิ้นซาก
ดังนั้น จากบทเรียนของเวเนซุเอลาในเรื่องการอัดฉีดเงินเข้าระบบทั้งในรูปแบบของสวัสดิการรัฐแบบฟุ้งเฟ้อและการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ขาดความระมัดระวังได้ทำให้เห็นว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการฉีดเงินเข้าระบบที่ขาดความระมัดระวังและเป้าหมายที่ดี ไม่ได้ส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจเสมอไป โดยนโยบายทางการเงินที่ดีจะต้องสร้างเครื่องจักรการเติบโต (Growth Engine) ทางเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อให้การใช้จ่ายของภาครัฐนั้นจะสามารถต่อยอดเป็นผลประโยชน์ระยะยาวที่สามารถต่อยอดและใช้ได้จริงในอนาคตต่อจากนี้
โดย ชย
อ้างอิง:
[1] Dutch Disease: Wealth Managed Unwisely
https://www.imf.org/en/Publications/fandd/issues/Series/Back-to-Basics/Dutch-Disease
[2] Dealing with Dutch Disease
[3] Charting The Decline Of Venezuela’s Oil Industry
[4] How Venezuela Struck It Poor
How Venezuela Struck It Poor
[5] The History of Venezuela