
MOU 2544 ไม่มี ความเสี่ยงให้ไทยเสียเกาะกูด ‘คกก. รักษาผลประโยชน์ทางทะเล’ ชี้ ‘MOU 2544’ ไทย-กัมพูชา ต่างอ้างสิทธิเพื่อให้เกิดการเจรจาต่อรองระหว่างกัน
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (นปท.) และอดีตโฆษกกองทัพเรือ กล่าวถึงกรณีที่มีข้อถกเถียงกันว่า MOU 2544 นั้นจะทำให้ไทยสูญเสียดินแดนเกาะกูดไปหรือไม่
ว่ากรรมสิทธิ์เหนือเกาะกูดนั้นเป็นของไทยอย่างชัดเจนด้วยสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 125 ซึ่งไทยลงนามกับฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2499 (ค.ศ. 1907) แล้ว
(ในสมัยนั้น ประเทศไทยนับว่าวันที่ 1 เม.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ การเทียบปี พ.ศ. และ ค.ศ. ในยุคนั้นจึงไม่สอดคล้องกับในปัจจุบัน)
อีกทั้งกัมพูชาเองก็ไม่เคยอ้างอย่างเป็นทางการว่าเกาะกูดเป็นของกัมพูชา ก็จะมีแต่คำอ้างในระดับชาวบ้าน และนักการเมืองกัมพูชาที่ต้องการสร้างกระแส ซึ่งในส่วนนี้เราไม่ควรจะนำมาเป็นภาระ
นอกจากนี้ กองทัพเรือยังได้มีการตั้งค่ายทหาร, ท่าเรือ, หน่วยปฎิบัติการเกาะกูด โดยหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (สอ.รฝ.) และกระโจมไฟ
ซึ่งกระโจมไฟนั้น มีการลงทะเบียนใน “List of Lights (บัญชีระบุตำแหน่งของประภาคาร และอุปกรณ์ช่วยนำร่องการเดินเรือ)” ซึ่งบัญชีดังกล่าวมีการระบุชื่อประเทศผู้เป็นเจ้าของเอาไว้อย่างชัดเจน สามารถนาใช้อ้างอิงได้
ดังนั้นเรื่องนี้จบไปเมื่อร้อยกว่าปีก่อนแล้ว และไม่มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียดินแดนอย่างแน่นอน
สำหรับการลากเส้นแบ่งของกัมพูชาที่เป็นข้อถกเถียงกันนั้น พล.ร.อ.จุมพลกล่าวว่า เส้นดังกล่าวนั้นเกิดจากการอ้างอิงตามประวัติศาสตร์ปี ค.ศ. 1907 โดยในสมัยนั้น เส้นดังกล่าวถูกใช้เพื่อการแบ่งทะเล ตามกฎหมายทะเลในยุคนั้น ตามข้อที่ 15
ซึ่งกรณีลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นกับกรณีหมู่เกาะพาราเซล ในทะเลจีนใต้ ซึ่งจีนอ้างว่าในเจิ้งเหอ (ขันทีและแม่ทัพเรือคนสำคัญในช่วงต้นราชวงศ์หมิง) เคยมาดูเกาะนี้ ในขณะที่เวียดนามอ้างว่ากษัตริย์ของเขาเคยครอบครองเอาไว้เมื่อ 300 – 500 ปีที่แล้วเช่นกัน ซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้สิทธิในการอ้างอิงตามข้อ 15 นี้เช่นกัน
สำหรับเส้นลากแบ่งของกัมพูชานั้น มีการลากโดยเล็งมาที่ยอดสูงของเกาะกูด ตามสิทธิเดิมที่เขาอ้าง แต่มีการแบ่งเว้นแตะขอบฝั่งของเกาะกูด ก่อนที่จะลากเส้นตรงต่อที่อีกฝั่งของเกาะไปทางอ่าวไทย โดยใช้หลัก “Equidistant (ระยะทางที่เท่ากันระหว่างจุดแต่ละจุด)” ในทางกฎหมาย ที่จะทำให้เกิดการแบ่งกันอย่างเท่าเทียมในอ่าวไทย เหมือนกับการแบ่งกันคนละครึ่งระหว่าง 2 ฝั่ง
ซึ่งการอ้างของกัมพูชาดังกล่าวนั้น ใช้หลักที่แตกต่างกับของไทย โดยฝ่ายกัมพูชานั้นอ้างประวัติศาสตร์ ในขณะที่ฝ่ายไทยใช้หลักสิทธิเท่าเทียม
ทั้งนี้ทุกฝ่ายต่างก็มีสิทธิที่จะอ้าง ภายใต้หลักการพื้นฐานทางกฎหมาย ไม่ว่าจะด้วยหลักการอะไรก็ตาม ตัวอย่างเช่นกรณีที่จีนอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะสแปรดลีนั้น เป็นการอ้างประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิสูงสุด เพื่อการใช้ในการต่อรอง ส่วนจะได้รับการแบ่งมาเท่าไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และหลักการในการอ้างเช่นนี้ เป็นหักปฏิบัติที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างก็ใช้
สำหรับการทำ MOU 2544 นั้น เป็นการให้การยอมรับว่าต่างฝ่ายต่างก็มีการอ้างสิทธิทางทะเลระหว่างกัน เพื่อให้เกิดการเจรจาระหว่างกัน โดยพลเรือเอกชุมพลย้ำว่า ขอใช้คำว่า “อ้างสิทธิทับซ้อน” มิใช้การ “ให้สิทธิทับซ้อน” เพื่อที่จะให้เกิดการเจรจาระหว่างกันเพื่อที่จะให้เกิดการแบ่ง และไม่ใช่การยอมรับเส้นแบ่งของทางกัมพูชา
สำหรับข้อกังวลที่ว่าทางฝ่ายกัมพูชา ลากเส้นอ้อมเกาะกูด ซึ่งจะทำให้ไทยได้ไปเพียงตัวเกาะ แต่เสียสิทธิทางทะเลในพื้นที่ส่วนขยายจากเกาะ เช่นเขตเศรษฐกิจจำเพาะ (Exclusive Economic Zone – EEZ) นั้น พลเรือเอกจุมพลกล่าวว่า ทางกัมพูชาขีดเส้นเพื่อการเจรจาต่อรองเท่านั้น
ซึ่งทางไทยเองก็อ้างสิทธิโดยไม่ให้สิทธิเหนือหินและเกาะย่อย ๆ ของกัมพูชาเช่นกัน เหลือเอาไว้เฉพาะเกาะใหญ่ ๆ ของกัมพูชา ซึ่งไทยเราเองก็ทำเช่นนี้ เพื่อให้เกิดการต่อรองเช่นกัน มิใช่การยกสิทธิให้
กระบวนการต่อรองเช่นนั้น ไทยกับเวียดนามก็เคยกระทำระหว่างกัน และมีการเจรจาต่อรองจนทั้ง 2 ฝ่ายต่างสมผลประโยชน์แบบ Win-Win ทั้งคู่ หรืออย่างกรณีระหว่างไทย-มาเลเซีย ที่ทราบถึงผลประโยชน์ทางทะเลบนพื้นที่ทับซ้อนระหว่างกัน และสร้างข้อตกลงในการพัฒนาร่วมกัน จนกลายเป็นกรณีศึกษาที่คลาสสิกของโลก
แต่ทั้งนี้ การเจรจานั้นจะต้องใช้เวลา และคุยกันด้วยเหตุและผล โดยจะต้องคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมเช่น ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครผิด ใครถูก 100%