
“ทุกคนมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์เท่ากัน… ยศกับหน้าที่มีไว้ทำงาน แต่คุณค่าของความเป็นทหาร พลทหารกับ ผ.บ. สูงสุด ต้องเท่ากัน” พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด 3 ต.ค. 2567
พลเอกทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) กล่าวในงาน “Thailand Next: เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย” ซึ่งจัดงานโดยคณะนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ 66 เมื่อวานนี้ (3 ต.ค. 2567)
โดยในตอนหนึ่ง พลเอกทรงวิทย์ได้กล่าวถึงหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) ว่าหลักสูตรนี้มีความมุ่งหมายเพื่อการสร้างผู้นำแห่ลอนาคต (Future Leader) และหลักสูตรนี้ไม่รับผู้พิพากษาและอัยการ เพื่อให้พวกเขาแยกตัวออกจากสังคม เพื่อให้พวกเขาได้เป็นเสาหลักสุดท้ายของกระบวนการยุติธรรมและสังคม อีกทั้งยังมีช่องว่างระหว่างข้าราชการกับนักการเมืองรุ่นใหม่
“ใครจะไปเชื่อว่าเรื่อทหารนี่ คนรุ่นใหม่เขาจะมองว่าเป็นเรื่องของการละเมิดสิทธิ กับการค้ามนุษย์ คือเมื่อก่อนเรามองว่าเป็นเรื่องที่ผู้บัญชาการ ละเลยไม่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา แต่พอเราไปเกณฑ์เข้า มาแล้วคุณมาใช้เขาในทางที่ผิดนี่ มันมีกฎหมายเรื่องซ้อมทรมานกับการค้ามนุษย์
คน (อายุ) 59 (ปี) เข้าใจยากมาก ผมก็เลยอยากให้ทหารรุ่นใหม่ที่อายุ 30 – 40 เข้าใจว่า Mindset (ชุดความคิด) ของคนรุ่นใหม่ ก็คือทุกคนมีคุณค่าของความเป็นมนุษย์เท่ากัน ไม่ว่าเขาจะชั้นยศพลทหารหรือพลเอก ยศกับหน้าที่มีไว้ทำงาน แต่คุณค่าของความเป็นทหาร พลทหารกับผบ. สูงสุด ต้องเท่ากัน” พลเอกทรงวิทย์กล่าว
พลเอกทรงวิทย์กล่าวว่าชุดความคิดเช่นนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นได้โดยง่าย จะต้องสร้างมาจากการมาพบกันตั้งแต่เด็ก และต้อนเองก็ต้องการให้มีความเปิดกว้าง ความจริงปีที่แล้วตนเองเชิญทุกพรรคการเมือง แต่บางพรรคก็ไม่ส่ง หรือบางพรรคนั้น มีคนมาสมัครเป็นการส่วนตัวแต่คุณสมบัติไม่ผ่าน
นอกจากนี้ ในบรรดาผู้สมัคร วปอ.บอ. รุ่น 2 นั้นมีคนจากพรรคที่วิพากษ์กองทัพเข้ามาร่วมสมัครด้วยแล้ว แต่ที่มานั้นไม่ใช่ตัวนักการเมืองเอง แต่เป็น Think Tank (กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ) ของพรรคเข้ามาสมัคร
ตนเองอยากเห็นสังคมในอีก 20 ปี ที่มีความเข้าใจกันระหว่างกองทัพกับตัวนักการเมือง เพราะว่าเรื่องของ holistic security (ความมั่นคงแบบองค์รวม) ซึ่งความจริงแล้วโดยหลักความมั่นคงของกองทัพนั้น ผบ.สส. ไม่น่าจะสนใจในเรื่องน้ำท่วม แต่สุดท้ายแล้ว ผู้ที่อยู่หน้างานช่วยน้ำท่วมกลับเป็นทหาร
ดังนั้นทหารจึงต้องเข้าใจทั้งองค์รวม ตั้งแต่เส้นทางน้ำ ภูมิอากาศที่กำลังจะเกิดขึ้น และต้องเข้าใจวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้านักการเมืองกับกองทัพมีความเข้าใจกันแล้วก็แลกเปลี่ยนกันตั้งแต่เด็ก เพื่อที่จะได้มาช่วยกันพยุงประเทศชาติในอนาคต