ยอดผู้ยื่นขอ LTR Visa ในไทยมีแล้ว 2,920 คน บีโอไอส่งเสริมตั้ง Regional Headquarters กว่า 500 โครงการ มั่นใจช่วยเพิ่มขีดความสามารถคนไทยเร็วขึ้น

ยอดผู้ยื่นขอ LTR Visa ในไทยมีแล้ว 2,920 คน ท็อป 3 ได้แก่ ยุโรป สหรัฐฯ จีน ด้านบีโอไอส่งเสริมตั้ง Regional Headquarters กว่า 500 โครงการ เชื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถคนไทยเร็วขึ้น

จากที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับการผลักดันนโยบายต่างๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของคนไทย ซึ่งเป็นทรัพยากรสำคัญต่อขีดความสามารถแข่งขันประเทศมาต่อเนื่อง หนึ่งในนั้นคือ การดึงผู้มีศักยภาพสูงเข้ามาอาศัยทำธุรกิจและทำงานในประเทศไทย ด้วยนโยบายการเป็นศูนย์กลางบุคลากรทักษะสูง (Talent Hub) ของภูมิภาค และการผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ โดยดึงบริษัทชั้นนำเข้ามาตั้งสำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค (Regional Headquarters) ในไทย ซึ่งผู้มีทักษะสูงและบริษัทระดับโลกจะถ่ายทอดความรู้ และนวัตกรรมต่างๆ แก่คนไทยผ่านการทำงานร่วมกัน

การดึงผู้มีศักยภาพสูงโดยการให้ LTR Visa และการดึงบริษัทระดับโลกมาตั้งสำนักงานใหญ่ จะเป็นทางลัดที่จะช่วยพัฒนาคนไทยให้เก่งเร็วขึ้น ผ่านการทำงานกับบุคคลหรือบริษัทที่มีนวัตกรรมและความสามารถการแข่งขันสูง ซึ่งด้วยนโยบายที่ชัดเจน มีทีมงานที่นายกรัฐมนตรีตั้งมาเพื่อเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุน และผลจากการเป็นเจ้าภาพจัดประชุมเอเปคเมื่อปลายปี 65 ทำให้ทั่วโลกมองเห็นศักยภาพของประเทศไทย ซึ่งทั้งหมดสะท้อนไปที่ยอดของผู้มีทักษะสูงและบริษัทระดับโลกที่เข้ามายังประเทศไทยต่อเนื่อง

ขณะที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ได้รายงานถึงการดำเนินการตามนโยบาย Talent Hub ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย หรือ Long-Term Resident Visa (LTR Visa) ตั้งแต่ 1 พ.ย.65 -28 ก.พ.66 นั้น มีชาวต่างชาติยื่นขอ LTR Visa แล้ว รวม 2,920 คน

ทั้งนี้ แยกเป็น กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง 195 คน, กลุ่มผู้เกษียณอายุและมีความมั่งคั่งจากต่างประเทศ 1,011 คน, กลุ่มผู้ที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย 771 คน, ผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ 390 คน และ ผู้ติดตามบุคคลกลุ่มต่างๆ ข้างต้น 553 คน และหากแยกตามกลุ่มประเทศพบว่า ผู้ยื่นขอ LTR Visa สูงสุด 3 อันดับแรก คือ ยุโรป 940 คน สหรัฐอเมริกา 517 คน และจีน 325 คน

ในส่วนการเข้ามาตั้ง Regional Headquarter สำนักงานบีโอไอได้ให้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนตั้งสำนักงานแล้วกว่า 500 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนประมาณ 13,000 ล้านบาท โดยบริษัท 5 สัญชาติแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ สิงคโปร์ ฮ่องกง และ ฝรั่งเศส โดยมีบริษัทที่เป็นที่รู้จักระดับโลก เช่น อโกดา, หัวเว่ย เทคโนโลยี, อาร์เซลิก ฮิตาชิ, อายิโนะโมะโต๊ะ, นิสชิน ฟู้ดส์, อัลสตอม, โตโยต้า มอเตอร์, นิปปอนสตีล เป็นต้น โดยบริษัทเหล่านี้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานหลักในการกำกับดูแล และให้บริการกับบริษัทในเครือที่ตั้งอยู่ในประเทศต่างๆ ในภูมิภาค