คนไทยเสียเงิน ให้มิจฉาชีพวันละ 77 ล้าน ‘เก็ต-ชินภัสร์’ ชี้แค่ตำรวจไล่จับกุมมิจฉาชีพออนไลน์ฝ่ายเดียวไม่พอ ต้องได้รับความร่วมมือจากธนาคารอย่างใกล้ชิด เหมือนสิงคโปร์
เก็ต–ชินภัสร์ กิจเลิศสิริวัฒนา อดีตรองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ โพสต์เฟสบุ๊คยกกรณีการปราบปรามมิจฉาชีพออนไลน์ของสิงคโปร์ ที่ตำรวจและธนาคารร่วมมือกับอย่างใกล้ชิด ในขณะที่ของไทยนั้น เน้นให้ตำรวจทำงานฝ่ายเดียว โดยมีข้อความว่า
“คนไทยสูญเสียเงินให้มิจฉาชีพ online เฉลี่ยวันละ 77 ล้านบาททุกวัน แล้วเราจะสู้กับปัญหานี้ยังไง?
ผมขอยกเคส Singapore เป็นกรณีศึกษา
ตำรวจ Singapore กับ จนท ธนาคารทำงานอย่างใกล้ชิดมากในประเด็นนี้
กรอบความคิดของเขาคือต้องให้ธนาคาร และบริษัทเครือข่ายมือถือ ร่วมชดใช้เงินในกรณีลูกค้าโดนหลอก (Shared Responsibility Framework หรือ SRF) เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นการหละหลวมของธนาคาร/บริษัทเครือข่ายมือถือ
(ไม่ใช่เหมือนบ้านเรา เน้นให้ตำรวจทำงานฝ่ายเดียว กว่าถึงมือตำรวจก็ปลายทางเเล้วครับ โอกาสได้เงินคืนน้อย)
- ต้นทางคือธนาคาร ในฐานะที่ดูแลบัญชีลูกค้า ธนาคารต้องมีมาตรการที่รัดกุมต่อสแกม-การโกง เช่นแจ้งเตือนลูกค้าหากมียอดโอนออกที่สูงเกินปกติของผู้ใช้ (ไม่งั้นเราจ่ายค่าธรรมเนียมให้แบงค์เพื่อ??)
- รองลงมาคือ บริษัทเครือข่ายมือถือ (AIS True DTAC) ที่ต้องมีกลไกอย่าง ‘antiscam filter’ คอยบล็อค sms ที่มีแนวโน้มเป็น scam
- ปลายนํ้าคือ ปชช (ประชาชน) รัฐต้องให้ความรู้เเก่ ปชช/ผู้บริโภค และขอพูดแบบชาวบ้าน อย่าโง่โอนตังค์ให้คนแปลกหน้าและอย่าโลภเกินครับ
ส่วนรายละเอียดนั้นทาง รัฐ ธนาคาร และ เครือข่ายโทรศัพท์ต้องมาวางเเผน เอาจริงกับเรื่องนี้
เราไม่ต้องคิดเองครับ ใช้โมเดลที่ต่างประเทศใช้ที่สำเร็จ
หากคนไทยยังโดนหลอกอีก ลืมเรื่องที่จะทำ Bitcoin ในประเทศได้เลยลุงทักกี้ (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี) เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในระบบอีกหลายเท่า”
นอกจากนี้ เก็ต-ชินภัสร์ ยังได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า “สิงคโปร์เป็น top 5 financial capitals (เมืองการเงิน/การทำธุรการแบงค์) จึงต้องจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจัง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ทุกฝ่าย”
อีกทั้งยังกล่าวถึงกรณีที่ทางการออสเตรเลียยื่นฟ้องธนาคาร HSBC ฐานไม่มีมาตรการควบคุมที่เพียงพอในการป้องกันและตรวจจับการชำระเงินที่ไม่ได้รับอนุญาต และไม่ตรวจสอบรายงานของลูกค้าเกี่ยวกับธุรกรรมที่ไม่ได้รับอนุญาตอย่างทันท่วงที ว่า “รัฐฟ้องธนาคาร จัดไปครับ (แต่ประเทศไทยจะกล้าไหม?)”