
แก้ไขสัญญาทางด่วน ปรับลดเหลือไม่เกิน 50 บาท ‘สุริยะ’ ชี้มีผลใช้บังคับ ม.ค.68 เป็นของขวัญปีใหม่
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงการแก้ไขปัญหาการจราจรบนโครงข่ายทางพิเศษ ระยะที่ 1 และการลดอัตราค่าผ่านทาง ในอัตราสูงสุดไม่เกิน 50 บาท (50 บาทตลอดสาย) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน โดยมอบหมายให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) และสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ร่วมกันพิจารณา
โดยในระยะแรก ให้ กทพ. ไปดำเนินการปรับปรุงระบบเก็บค่าผ่านทาง และลดอัตราค่าผ่านทางบนโครงข่ายทางพิเศษในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร ผ่านการเจรจากับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 2
ซึ่งในขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการขอความเห็นชอบการแก้ไขสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ฉบับแก้ไข) และสัญญาโครงการทางด่วนสายบางปะอิน – ปากเกร็ด (ฉบับแก้ไข) ตามขั้นตอนที่ระบุใน พรบ. การร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ซึ่งคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญาร่วมลงทุนฯ ได้ในเดือนธันวาคม 2567 และเริ่มปรับลดอัตราค่าผ่านทางในเดือนมกราคม 2568
สำหรับโครงการทางพิเศษยกระดับชั้นที่ 2 สายงามวงศ์วาน-พระราม 9 (Double Deck) มูลค่าประมาณ 3.4 หมื่นล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหาจราจรติดขัดบนทางพิเศษในพื้นที่ชั้นในกรุงเทพมหานคร ซึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้างนั้น
ขณะนี้กำลังเตรียมการแก้ไขสัญญาฯ ต่อคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (PPP) ก่อนที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในลำดับต่อไป โดยจะมีการขยายระยะเวลาสัมปทานออกไปอีก 22 ปี 5 เดือน เพื่อเป็นการแลกกับการก่อสร้าง Double Deck เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการปรับลดค่าผ่านทาง
“การดำเนินการในเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนแต่อย่างใด แต่เร่งดำเนินการ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็นหลัก ช่วยลดภาระค่าครองชีพ และลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งนี้ ได้ให้นโยบายและเน้นย้ำว่า ทุกกระบวนการในการดำเนินงานนั้นตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเคร่งครัด มีความละเอียดรอบคอบ โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้” นายสุริยะ กล่าว
นอกจากนี้จะมีการยกเลิกด่านประชาชื่น (ขาออก) และด่านอโศก 3 ซึ่งมีปริมาณจราจรหนาแน่น เพื่อให้การจราจรคล่องตัวมากขึ้น และจะทำการปรับเพิ่มช่องเก็บค่าผ่านทางแบบอัตโนมัติ (ETC) แบบไม่มีไม้กั้น และลดจำนวนช่องเก็บค่าผ่านทางแบบเงินสด (MTC) ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทาง
เพื่อช่วยให้การแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ ช่วยให้ผู้ใช้ทาง จ่ายค่าผ่านทางในราคาที่เหมาะสม และคุ้มค่า
โดยผู้ใช้ทางจะได้รับประโยชน์ สามารถเดินทางข้ามระบบทางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพมหานครชั้นใน โดยจ่ายค่าผ่านทางในอัตราสูงสุดไม่เกิน 50 บาท สำหรับรถยนต์ 4 ล้อ อีกทั้งยังช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้สูงสุด 30 นาที/เที่ยว ซึ่งจากการประเมินของ กทพ. จะช่วยให้ประชาชนสามารถประหยัดค่าเดินทางได้ 1,200-3,000 ล้านบาท/ปี ตลอดอายุโครงการ
และจะส่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ รวมโดยเฉพาะในด้านการประหยัดเวลาการเดินทาง (Value of Time Saving) มูลค่ามากกว่า 1,300 ล้านบาท/ปี ทำให้ประชาชนสามารถนำค่าผ่านทางได้มาจับจ่ายใช้สอย ทำให้เกิดการหมุนเวียนเงินในระบบเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้นด้วย
อีกทั้งยังช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก ลดปัญหาฝุ่น PM2.5 ส่งเสริมการเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพของเมือง และที่สำคัญคือ ลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของประชาชนในประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ