
เกาหลีใต้แห่ลงทุนหุ้นอินเดีย หลังทรัมป์ขึ้นประธานาธิบดี โดยมองว่านโยบายปิดกั้นจีนจะทำให้ทุนถ่ายเทมาอินเดีย
นักลงทุนรายย่อยในเกาหลีใต้เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นในหุ้นอินเดีย เนื่องจากคาดว่าการกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอินเดีย
เมื่อวันพฤหัสบดี (7 พ.ย.) ดัชนี Sensex ของอินเดียปิดตลาดลดลง 1.06% ที่ 79,541.79 จุด โดยลดลง 7.34% จากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 85,836.12 จุด เมื่อวันที่ 26 ก.ย.
การร่วงลงอย่างรวดเร็วของดัชนี Sensex นั้น เกิดจากแรงเทขายอย่างหนักของนักลงทุนต่างชาติที่แห่กันไปซื้อหุ้นจีนจากความคาดหวังว่าเศรษฐกิจของจีนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกจะฟื้นตัวขึ้น หลังจากที่รัฐบาลจีนให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา โดยในเดือน ต.ค. เพียงเดือนเดียว นักลงทุนต่างชาติได้เทขายหุ้นอินเดียไปกว่า 11,800 ล้านดอลลาร์ (6.18 แสนล้านบาท)
ความเคลื่อนไหวดัวกล่าวส่งผลให้กองทุน ETF ของเกาหลีร่วงลงตามหุ้นอินเดีย โดย Samsung KODEX India Nifty50 และ Mirae Asset Tiger India Nifty50 ร่วงลง 0.46% และ 0.36% ตามลำดับในช่วงเดือนที่ผ่านมา
นักลงทุนรายย่อยในเกาหลีมองว่าราคาที่ร่วงลงเป็นโอกาสในการซื้อหุ้น (buy on dip) และได้ซื้อสุทธิกองทุน Samsung KODEX India Nifty50 ETF มูลค่า 8,100 ล้านวอน (199.4 ล้านบาท) และกองทุน Mirae Asset Tiger India Nifty50 ETF มูลค่า 11,500 ล้านวอน (283.10 ล้านบาท) ในช่วงเวลาเดียวกัน
นักลงทุนเกาหลีที่เดิมพันหุ้นอินเดียอย่างกล้าหาญนั้นได้รับแรงผลักดันจากความคาดหวังว่าตลาดหุ้นอินเดียจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นักวิเคราะห์ตลาดกล่าวว่า คำขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 60% ของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจทำให้ความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และอาจทำให้บริษัทต่างชาติต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีนไปอินเดียแทน
“อินเดียคาดว่าจะได้รับประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์อย่างมากจากชัยชนะของทรัมป์” Lee Jun-jae ที่ปรึกษาการเงินและการลงทุนของบริษัท Samsung Asset Management กล่าว พร้อมเสริมว่า “ความสำคัญของอินเดียในห่วงโซ่อุปทานโลกจะเพิ่มขึ้นอีกในฐานะทางเลือกแทนจีน”
เพื่อปลดล็อกโอกาสรัฐบาลอินเดียได้ออกนโยบายเพื่อดึงดูดบริษัทต่างชาติที่ย้ายการผลิตออกจากจีน รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ได้กำหนดงบประมาณการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 130,400 ล้านดอลลาร์ (4.48 ล้านล้านบาท) และปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคลสำหรับบริษัทต่างชาติลง 5%
อินเดียเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) โดยมีอายุเฉลี่ยของประชากรอยู่ที่ 29.5 ปี การบริโภคภายในประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยได้แรงหนุนจากค่าจ้างที่สูงขึ้น
(1 ดอลลาร์ = 34.35 บาท)
(1 วอน = 0.025 บาท)