
มิจฉาชีพ ในคราบนักการเมือง ‘แทนคุณ’ เผยชายโปรไฟล์ดีทำงานการเมือง หลอกให้รักแล้วโอน อ้างเป็นนาวาตรี ต้องคดีล่วงละเมิดเด็กอายุ 12 ปี
อี้-แทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม และอดีต สส. กทม. เดินทางไปยังกองปราบปราม พร้อมผู้เสียหายรายหนึ่ง เพื่อฟ้องร้องในคดีที่ถูกชายโปรไฟล์ดีรายหนึ่งหลอกให้รักแล้วโอน เมื่อวันที่ 20 ก.ย. ที่ผ่านมา
นายแทนคุณกล่าวถึงพฤติกรรมของชายรายนี้ว่า มักจะแสดงภาพที่ถ่ายคู่กับบุคคลที่มีชื่อเสียงหลายท่านไม่ว่าจะเป็น พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปจนถึง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพื่อใช้ในการหลอกลวงผู้เสียหาย แม้แต่ภาพที่ถ่ายคู่กับตนเองก็ยังถูกนำมาใช้
อีกทั้งชายคนดังกล่าวยังกล่าวอ้างว่าตนเองมียศทางทหารเป็นนาวาตรีของกองทัพเรือ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้วมียศพันจ่า (ยศเทียบเท่าจ่าสิบของกองทัพบก) และถูกปลดไปตั้งแต่ปี 2559 อีกทั้งมักจะสวมใส่ชุดข้าราชการ
ส่วนวิธีการหลอกลวงคือการกล่าวอ้างว่าเขาสามารถฝากเข้าไปทำงานเป็นกรรมาธิการ หรือเข้าไปเกี่ยวข้องกับรัฐสภา หรือรัฐบาลได้ อีกทั้งยังกล่าวอ้างว่าเป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้วย โดยผู้ที่ต้องการจะให้เขาฝาก จะถูกเรียกค่าใช้จ่ายในการฝากไปทำงานราชการประมาณ 1.2 ล้านบาท
ชายคนนี้ยังมีการถ่ายภาพตนเองในที่ประชุมสภา ทำเหมือนว่าอยู่ในการประชุม สส. ซึ่งนายแทนคุณได้ทำการตรวจสอบแล้วพบว่าเขาอาจจะเป็นคณะอนุกรรมาธิการ และอาศัยจังหวะพักการประชุม
รูปแบบการหลอกลวงของชายคนนี้มี 3 รูปแบบ
1 หลอกว่าจะได้ตำแหน่งแต่ต้องจ่ายเงินเสียก่อน แต่เมื่อจ่ายไปแล้วไม่ได้ตำแหน่ง อีกทั้งไม่สามารถตามทวงเงินได้
2 หลอกว่าตนเองมีคลินิกกายภาพ และหลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน
3 อาศัยหน้าตาและบุคลิกที่ดีของตนเอง ประกอบกับมีคารมดี หลอกให้หลงรัก
นอกจากนี้ ชายคนนี้มีคดีอยู่ถึง 30 คดีที่ยังอยู่ในชั้นศาล โดยหนึ่งในคดี เป็นคดีอนาจารล่วงละเมิดต่อเยาวชนอายุ 12 ปีด้วย อีกทั้งยังมักจะถ่ายภาพคู่กับดาราผู้มีชื่อเสียง และนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ แล้วนำมาโพสต์เฟซบุ๊ก ถือได้ว่าบุคคลนี้อาจจะเป็นภัยสังคม
ด้านผู้เสียหายซึ่งเป็นสุภาพสตรีกล่าวว่า ชายคนนี้สร้างโปรไฟล์ที่ดูแล้วมีความน่าเชื่อถือลงในแพลตฟอร์มหาคู่ ทุกแพลตฟอร์มเช่น Tiktok, Tinder และเพจแม่สื่อแม่ชัก ทำให้ผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงหลงเชื่อ จนทำความรู้จักและคบหากัน
เขาดูมีความน่าเชื่อถือจากหน้าที่การงานของเขา ซึ่งอ้างว่าตนเองมียศนาวาตรี ที่ลาออกจากราชการมาทำงานการเมือง แต่จริง ๆ แล้วถูกปลด เขาทำงานในรัฐสภา อ้างว่าเป็นปรึกษานายกฯ และอนุกรรมการสภา กทม.
ล่าสุดเปิดคลินิกกายภาพ และขอเงินไปลงทุน 1 แสนบาท อ้างว่าจะให้ผลตอบแทน 18% โดยแบ่งเงินปันผลให้ 2 เดือน ก่อนที่จะขอผัดผ่อนไปอีก 2 เดือน และบล็อก ตัดขาดการติดต่อในเวลาต่อมา
ตนเองได้สืบทราบในภายหลังว่าชายคนนี้มีคดีในชั้นศาลกว่า 30 คดี และมีคดีอื่นอีกมากมาย มีผู้เสียหายอีกหลายคนที่ยังไม่ออกมาแสดงตัว