
รัสเซียแหวกวงล้อม! ‘รศ.ดร.ปณิธาน’ ชี้รัสเซียเร่งกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรเก่า เพื่อสลายแรงกดดันจากชาติตะวันตก
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคงโพสต์เฟสบุ๊กกล่าวถึงการให้สัมภาษณ์กับ TNN เกี่ยวกับแนวทางในการสลายแรงกดดันจากชาติตะวันตก ด้วยการเร่งกระชับสัมพันธ์กับพันธมิตรเก่า โดยมีข้อความว่า
“รัสเซียแหวกวงล้อม!
สัปดาห์ก่อน นำกองเรือรบและเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ใหม่เข้าไปใกล้ชายฝั่งสหรัฐฯ ร่วมซ้อมรบกับคิวบาในทะเลแคริบเบียน ต่อด้วยการโต้ตอบผู้นำโลกกว่าร้อยคนที่ไปประชุมสันติภาพที่สวิตเซอร์แลนด์
สัปดาห์นี้ ไปกระชับความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือด้านการทหารและความมั่นคง ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบสี่ปี ต่อด้วยเยือนเวียดนาม ลงนามข้อตกลงกว่าสิบฉบับ เพื่อเดินหน้าหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์กับพันธมิตรเก่า
ในปีนี้ รัสเซียก็ยังเป็นประธานหมุนเวียน BRICS ที่กำลังเนื้อหอมต้องพิจารณารับสมาชิกใหม่กว่าสามสิบประเทศ รวมทั้งมาเลเซียและเวียดนามที่แสดงความสนใจ นอกเหนือจาก ซาอุดิอาราเบีย อิหร่าน UAE และ เอธิโอเปีย ซึ่งเข้าร่วมเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการแล้วในปีนี้
ปธน.ปูตินจะทำสำเร็จหรือไม่ และเมื่อร่วมมือกับจีนแล้ว จะสร้างเวทีทางเลือกใหม่ให้กับโลกได้จริงหรือไม่ วัดอุณหภูมิเรื่องนี้กับคุณโมไนย เย็นบุตร TNN TV ครับ”
ซึ่งในการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวนั้น รศ.ดร. ปณิธานกล่าวถึงการเดินทางไปเยือนเกาหลีเหนือด้วยตนเองของประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย ว่าเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบแรงกดดันต่อรัสเซียที่มีเพิ่มมากขึ้น และชัดเจนขึ้น
ทำให้รัสเซียต้องเร่งกระชับความสัมพันธ์กับพันธมิตรเดิม อย่างคิวบา เกาหลีเหนือ และเวียดนาม โดยเฉพาะทางการทหาร ซึ่งในสัปดาห์ที่ผ่านมา รัสเซียมีการซ้อมรบร่วมกับคิวบา และมีการคาดการณ์กันว่ารัสเซียจะกระชับความสัมพันธ์ในข้อตกลงทางการทหารกับเกาหลีเหนือมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งยุทโธปกรณ์จากเกาหลีเหนือ
“ถึงแม้ว่าจะไม่เปิดเผย แต่ก็คาดเดาได้ว่ารัสเซียต้องการยุทโธปกรณ์ที่จะเข้าไปใช้ในยูเครน ในทางกลับกันเกาหลีเหนือก็ต้องการอาหาร ต้องการมีช่องทางในการพึ่งพารัสเซียเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะให้เกิดความสมดุลกับจีน
ซึ่งในอดีตถึงกว่า 90% เกาหลีเหนือจะต้องพึ่งจีนทางด้านเศรษฐกิจ ทางด้านการค้า อันนี้ก็เป็นโอกาสของเกาหลีเหนือด้วยที่จะลดการพึ่งพิงต่อจีน และก็แน่นอน ทั้ง 2 ประเทศมีศัตรูร่วมกันคือ สหรัฐและพันธมิตร” รศ.ดร.ปณิธานกล่าว
เกาหลีเหนือมีความชัดเจนขึ้น ในการสนับสนุนรัสเซียในการบุกยึดยูเครน เห็นได้จากสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ (คิม จองอึน) แต่ในเวียดนามเหตุการณ์แบบนี้อาจจะไม่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งรัสเซียกำลังจะเดินทางไปเยือนเพื่อการกระชับความสัมพันธ์ทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะลดแรงกดดันที่มีต่อรัสเซีย
เมื่อถูกถามถึงข้อเสนอที่ขัดแย้งกันในการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยรัสเซียต้องการ 4 แคว้นที่ตนเองยึดครองได้มาเป็นของตน แต่ยูเครนเสนอให้รัสเซียถอนกำลังออกไปจาก 4 แคว้นดังกล่าว ซึ่งทำให้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดสันติภาพมีน้อยมาก จนกลายเป็นเหตุผลให้รัสเซียเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ หาพันธมิตรใช่หรือไม่
รศ.ดร.ปณิธานตอบว่าการเจรจาจะติดอยู่ที่จุดนี้ และความสำเร็จในการเจรจาจะขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างรัสเซียกับนานาชาติว่าจะสำเร็จหรือไม่ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้แรงกดดันทางการทหารและเศรษฐกิจ เพื่อสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบ
สำหรับการสู้รบในพื้นที่นั้น จะเกิดขึ้นคู่ขนานกันไป และเกิดขึ้นเป็นประจำ ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นในทุกที่ ไม่ว่าจะในตะวันออกกลาง หรือในประเทศเมียนมา มีการเจรจานอกรอบอยู่เสมอเพื่อที่จะผลักดันประเด็นเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความสำเร็จในการเจรจา
แต่ขณะนี้เชื่อกันว่าจุดสำเร็จอีกจุดหนึ่งนั้นอยู่ที่จีน ซึ่งขณะนี้ทางตะวันตกและเลขาธิการ NATO กดดันจีนมากขึ้น เพื่อให้จีนกดดันรัสเซีย โดยเลขาฯ NATO ระบุว่าจีนควรจะได้รับการลงโทษ เพื่อสร้างแรงกดดันจากการที่จีนเข้าไปช่วยรัสเซีย
เมื่อถูกถามว่าความเคลื่อนไหวของเลขาฯ NATO ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงกำหนดการที่จะไปเยือนสหรัฐในสัปดาห์หน้า จะส่งผลต่อสมรภูมิในพื้นที่หรือไม่ รศ.ดร.ปณิธานตอบว่าใช่ รัสเซียได้รับแรงกดดันจาก NATO เพิ่มมากขึ้นจากการซ้อมรบของสมาชิก NATO ในบริเวณที่ติดพรมแดนของรัสเซียตั้งแต่ช่วงต้นปี อีกทั้ง NATO ได้เพิ่มงบประมาณทางการทหาร
สำหรับสถานะสมาชิก NATO ของยูเครนนั้น จะเกิดขึ้นได้ภายหลังจากที่ยูเครนสงบศึกกับรัสเซีย ตามข้อบังคับของ NATO แต่ในระหว่างนี้สามารถดำเนินการแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับ โดยเฉพาะประเด็นการคอร์รัปชันในยูเครน
แต่ทั้งนี้สมาชิก NATO ต้องการให้ยูเครนเข้ามาอยู่ในปกป้องคุ้มครองของ NATO แต่ก็เกรงว่าอาจจะเป็นเผชิญหน้ากับรัสเซีย จนอาจกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดศึกสงครามที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งสมาชิก NATO ไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในส่วนของยูเครนนั้นต้องการให้ NATO เข้ามาปกป้องคุ้มครองยูเครนตอนนี้เลย
เมื่อถูกถามถึงชนวนของสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน ที่มาจากความพยายามที่จะรับเอายูเครนเข้ามาเป็นสมาชิก NATO ซึ่งรศ.ดร.ปณิธานกล่าวว่ารัสเซียเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เป็นการกระทำที่ผิดไปจากข้อตกลงเดิมที่กระทำด้วยวาจาระหว่างรัสเซียกับชาติตะวันตกเมื่อหลายสิบปีก่อน
ถือเป็นการประชิดพรมแดนรัสเซีย ในพื้นที่ที่รัสเซียมีอิทธิพลสูง ถือเป็นการกระทำที่ข่มขู่คุกคามรัสเซีย ในทัศนคติของผู้นำรัสเซีย และจะต้องแสดงให้ประชาชนรัสเซียเห็นถึงความเข้มแข็งของรัสเซียที่จะเข้าไปยึดครอง สถาปนารัฐกันชน ซึ่งนี่เป็นเงื่อนไขของสงครามในครั้งนี่ ซึ่งต่อเนื่องมาจากครั้งที่แล้วที่รัสเซียเข้าไปยึดครองแคว้นไครเมีย
ในยุโรปค่อนข้างจะกลัวการเติบใหญ่ของจักรวรรดิรัสเซียใหม่ ทำให้กลุ่มประเทศที่เคยเป็นกลางอย่างกลุ่มสแกนดิเนเวีย ก็ต้องหันมาพึ่งสหรัฐและพันธมิตรที่เข้มแข็ง ในปีนี้เป็นปีแรกที่เยอรมนีเพิ่มค่าใช้จ่ายทางการทหาร ในขณะที่ก่อนหน้านี้เยอรมนี ไม่ได้สนใจที่จะสร้างความเข้มแข็งทางทหารมาก และในยุโรปก็มีแนวโน้มที่จะเป็นเช่นนี้
“ตรงนี้จะเป็นเงื่อนไขที่เป็นอันตรายสำหรับหลายฝ่ายที่อาจจะเกิดสงครามระดับภูมิภาคที่ใหญ่กว่านี้ แต่สถานการณ์ในระยะยาวหลายฝ่ายคิดว่ายุโรปน่าจะคลายความเป็นกังวลกับรัสเซีย ถ้าหากรัสเซียยอมสงบศึก และมีการเจรจากับพื้นที่ที่ยึดครองไป
ตรงนั้นก็อาจจะเห็นถึงความแตกต่างซึ่งมีอยู่เสมอในสมาชิก NATO (ที่) เกี่ยวข้องกับจุดยืนของยูเครน อย่างที่เคยเห็นมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตุรกี” รศ.ดร.ปณิธาน กล่าวและกล่าวต่อว่าข้อแตกต่างเหล่านี้จะมีมากขึ้นหลังจากที่สงครามสงบลง
สำหรับการสร้างแรงกดดันของรัสเซียต่อชาติตะวันตกและ NATO นั้น รัสเซียกำลังดำเนินการอยู่ โดยเข้าไปสร้างความมั่นคงในประเทศบริวารเก่าอย่างเบลารุส มีการส่งอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี เพื่อสร้างแรงกดดัน และเป็นการป้องกันตนเองในสายตาของรัสเซีย และรัสเซียจะดำเนินการต่อไปอย่างเข้มข้นขึ้น
สำหรับเวียดนามที่รัสเซียจะเข้าไปแสวงหาความร่วมมือด้วยนั้น รศ.ดร.ปณิธานเห็นว่าจะมีความซับซ้อนมากกว่าเกาหลีเหนือ เนื่องจากเวียดนามนั้น มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับทั้งสหรัฐ และจีน โดยผู้นำของทั้งสหรัฐละจีนก็เพิ่งไปเยือนเวียดนามมาเมื่อปีก่อน
การที่เวียดนามจะประกาศจุดยืนสนับสนุนรัสเซียในสงครามยูเครนอย่างชัดเจนนั้น เป็นไปได้ยาก แต่การกระชับความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างรัสเซียและเวียดนามนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องยาก เนื่องจากมีข้อตกลงเดิมร่วมกันอยู่แล้ว อีกทั้งเคยเป็นพันธมิตรทางทหารที่ใกล้ชิดกันมาก่อน
แต่เวียดนามอาจจะใช้โอกาสนี้ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน เพิ่มแรงกระตุ้นให้กับเวียดนาม ที่ในขณะนี้กำลังทะยานขึ้นมาเป็นประเทศที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากขึ้นในทุกระบบของโลก
สำหรับคความเป็นไปได้ที่เวียดนามจะเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ทั้งกับรัสเซีย และสหรัฐนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ซึ่งในอดีตหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเคยทำได้ แต่ในขณะนี้เวียดนามกำลังเข้าสู่สมดุลใหม่ระหว่างชาติมหาอำนาจ แต่เวียดนามจะไม่เป็นตัวถ่วงดุล เพราะมีขนาดเล็กกว่าชาติมหาอำนาจ
แต่เวียดนามจะสามารถสร้างสมดุลใหม่ให้กับตนเองได้ จากการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งสหรัฐ, จีน และรัสเซีย ซึ่งจะกลายเป็นผลดี และประโยชน์กับประชาชนชาวเวียดนาม อีกทั้งการกระทำนี้ ทำให้เวียดนามกลายเป็นข้อยกเว้น ที่หลายฝ่ายไม่คาดคิดว่าเวียดนามจะทำได้มาก่อน
ทั้งนี้เวียดนามเคยเป็นประสบการณ์จากการที่เคยอยู่กับขั้วใด ขั้วหนึ่งมาก่อน โดยอยู่กับฝ่ายคอมมิวนิสต์โซเวียต และเกิดปัญหาค่อนข้างมาก ถือเป็นบทเรียนของเวียดนามที่เวียดนามจะใช้ประสบการณ์ตรงนั้นในการสร้างสมดุลใหม่ของตนเอง
ซึ่งเรื่องนี้ไทยเองก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ในประประชุมของสิงคโปร์เมื่อ 3 – 4 ปีก่อน แต่เวียดนามได้เอาไปปฏิบัติ และทำได้อย่างชัดเจน ซึ่งยุทธศาสตร์ในการสร้างสมดุลใหม่ของเวียดนาม ถือได้ว่ามีความน่าสนใจที่สุดในกลุ่มประเทศอาเซียน
สำหรับในกตะวันออกกลางนั้น กลุ่มอิซบอลเลาะห์สามารถเข้าโจมตีเมืองใหญ่ และที่ตั้งทางทหารของอิสราเอลที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนกว่า 20 กม. ได้ โดยอิซบอลเลาะห์ได้แสดงภาพถ่ายการโจมตีดังกล่าว ที่เชื่อกันว่ามาจากโดรนสนับสนุนของอิหร่าน ซึ่งสร้างแรงกดดันต่ออิสราเอลเป็นอย่างมาก ทำให้อิสราเอลต้องอพยพประชาชนออกจากพื้นที่เปราะบาง และสั่งระดมกำลังเตรียมทำสงครามใหญ่
แต่เรื่องนี้จะส่งผลดีกับนายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮูของอิสราเอล ที่จะได้รับแรงสนับสนุนจากประชาชนในการทำสงครามกับกลุ่มอิซบอลเลาะห์ ที่จะมีความสำคัญยิ่งกว่ากลุ่มฮามาสด้วย ในขณะที่สหรัฐออกมาข่มขู่ว่าหากกลุ่มอิซบอลเลาะห์โจมตีหนักขึ้น สหรัฐก็จะเข้ามาสนับสนุนอิสราเอลมากขึ้นด้วย
ด้านนายกฯ อิสราเอลนั้น ได้ยุบคณะรัฐมนตรีสงครามไปแล้ว ทำให้เขามีอำนาจเบ็ดเสร็จในการทำสงคราม ซ่งทุกฝ่ายก็ทราบนี้ว่านี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากอิซบอลเลาะห์เป็นกองกำลังพร้อมรบ และเคยรบชนะอิสราเอลมาแล้วหลายครั้งด้วย ถือเป็นเรื่องยากสำหรับชาวอิสราเอลที่จะปล่อยให้อิซบอลเลาะห์ข่มขู่ในลักษณะเช่นนี้