
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคง เสนอแนวทางการวางตัวของไทย ที่จะเป็นทางออกให้ความขัดแย้งในเมียนมา โดยที่ไทยไม่ต้องเลือกข้างหรือมีปัญหากับคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และความมั่นคงให้สัมภาษณ์ผ่านรายการเจาะลึกทั่วไทย Inside Thailand เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2567 ซึ่ง รศ.ดร.ปณิธานได้สรุปภาพรวมสถานการณ์ในเมียนมาว่า
จีน, อินเดีย และรัสเซียได้เข้าไปเกี่ยวข้องในสมรภูมิในเมียนมาด้วยแล้ว ซึ่งทางการไทยจะต้องควบคุมการปฏิบัติการในพื้นที่ให้ดีด้วย และถึงแม้ว่าจีนจะมีการกดดันกลุ่มสีเทาต่าง ๆ ให้ถอยร่นลงมา แต่ก็ไม่อยากจะเสียพันธมิตรที่สำคัญกับทหารเมียนมา
และต้องเฝ้าดูพันธมิตรของสหรัฐ ที่กำลังรุกคืบเข้ามาเรื่อย ๆ ในหลายพื้นที่ ซึ่งทำให้สถานการณ์กลายเป็นสถานการณ์ที่เปราะบาง แต่ก็สามารถพลิกให้เป็นประโยชน์ได้เช่นกัน หากมีการดำเนินการเชิงรุกในบางรูปแบบ
ผู้นำกลุ่มกองกำลังต่าง ๆ อาศัยประเทศไทยเป็นสถานที่พบปะเจรจากัน ซึ่งทางการไทยควรจะอำนวยการด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้นำทุกกลุ่มที่เดินทางเข้ามาเจรจาในประเทศไทยด้วย
ทั้งนี้ รศ. ดร. ปณิธานได้เสนอ 3 แนวทางการวางตัวของไทย ที่จะเป็นทางออกให้ความขัดแย้งในเมียนมา โดยที่ไทยไม่ต้องเลือกข้างหรือมีปัญหากับคู่ขัดแย้งฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ดังนี้
“เรื่องแรกคือเราต้องผลักดันให้ทุกฝ่ายพึ่งไทยในเรื่องความปลอดภัย เราสามารถช่วยเหลือคนได้อีกหลายกลุ่มมาก ไม่เฉพาะกลุ่มกะเหรี่ยงตามแนวชายแดน เพราะฉะนั้นจะต้องตั้งหลักใหม่ ให้ไทยเป็นฐานในการให้ความช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมจริง ๆ
แล้วก็ทำให้ไทยเป็นทางออก ไม่ใช่เป็นทางเลือกในการต่อสู้กันในเรื่องอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างที่บางประเทศเป็น” รศ.ดร.ปณิธานกล่าว และกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นแรกที่น่าจะผลักดันได้ไม่ยาก
แนวทางที่ 2 คือการช่วยผลักดันให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมียนมา เป็นการเลือกตั้งที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็จะทำให้ไทยดูเหมือนไม่เลือกข้าง และสนับสนุนประชาธิปไตย
แนวทางที่ 3 ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำ คือการควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ซึ่งแปรปรวนมาก ไม่ว่าจะขบวนการสีเทา และขบวนการเข้าออกส่งกำลังบำรุงต่าง ๆ ที่พยายามจะเข้าออกประเทศไทย ซึ่งว่ากันว่ามีเครื่องบินเล็กบินเข้า-ออกตามตะเข็บชายแดน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ควบคุมได้ยากมาก แต่ก็ต้องรีบจัดการควบคุมให้ได้จริง ๆ ซึ่งจะทำให้ไทยไม่เสียดุล
“ถ้ามีการเลือกตั้ง หรือมีการเจรจาจริง ๆ ไทยก็อาจจะเป็นหนึ่งในแกนสำคัญที่สามารถกำหนดทิศทางได้ โดยเอาการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของคนจำนวนเป็นล้านคนซึ่งอยู่ในเมืองไทยแล้ว และก็อาจจะเป็นความหวัง
ชาวเมียนมามองว่าถ้าถึงจุดวิกฤติที่ถึงชีวิตจริง ๆ จะหนีมาเมืองไทย ทำให้ไทยกลายเป็นความหวังสุดท้ายของชาวเมียนมา” รศ.ดร. ปณิธานกล่าว