Newsอุปสรรคจากการย้ายประเทศ และโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับ จากการที่คนรุ่นใหม่ สนใจออกไปหาประสบการณ์ในต่างแดน ศิราวุธ ภุมมะกสิกร คอลัมนิสต์ The Structure

อุปสรรคจากการย้ายประเทศ และโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับ จากการที่คนรุ่นใหม่ สนใจออกไปหาประสบการณ์ในต่างแดน ศิราวุธ ภุมมะกสิกร คอลัมนิสต์ The Structure

อุปสรรคจากการย้ายประเทศ และโอกาสที่ประเทศไทยจะได้รับ จากการที่คนรุ่นใหม่สนใจออกไปหาประสบการณ์ในต่างแดน

 

ถึงแม้ว่าจะมีกระแสข่าวว่าคนรุ่นใหม่ ๆ อยากจะย้ายไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาก็เคยมีคนดังบางคนที่ประกาศว่าจะย้ายไปอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร และย้ายกลับมาอยู่อาศัยในประเทศไทย

ซึ่งสำหรับคนที่เคยผ่านประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างประเทศมาแล้วนั้น จะรู้ว่าการย้ายไปอยู่อาศัยในต่างประเทศนั้น มีอุปสรรคหลายอย่างที่ต้องรับมือดังนี้

— กำแพงภาษา —

ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมใดก็ช่าง ภาษาคือกุญแจที่สำคัญที่สุดในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่อยู่อาศัยในประเทศนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการดำรงชีวิตในสังคม การจับจ่ายใช้สอย การไปพบแพทย์เมื่อเจ็บป่วย และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการทำงานหาเลี้ยงชีพ

ในหลายประเทศที่เจริญแล้ว อาชีพแรงงานทักษะอย่างนักบัญชี วิศวกร และบุคลากรทางการแพทย์นั้นเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก แต่หัวใจสำคัญในการได้รับงานที่มีตำแหน่งสูง รายได้ดีเหล่านั้น ทักษะทางภาษานั้นเป็นหัวใจที่สำคัญอย่างยิ่งในการทำงาน

ดังนั้น การมีทักษะทางภาษาในระดับเชี่ยวชาญ ถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการย้ายถิ่นฐานไปยังต่างประเทศ

อย่างไรก็ดี ผู้ย้ายถิ่นฐานไปทำงานในต่างประเทศ โดยไม่มีทักษะด้านภาษานั้นก็มีเช่นกัน และสามารถอยู่เอาตัวรอดได้ในบางประเทศเช่น ออสเตรเลีย เนื่องจากประเทศเหล่านั้นมีชุมชนชาวไทยที่รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น

แต่คนเหล่านั้น ยากที่จะออกไปจากชุมชนชาวไทย ทำให้มีทางเลือกในชีวิตที่จำกัด จากการไม่มีความสามารถในการสื่อสารกับคนที่ไม่ใช่คนไทย

นอกจากนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้บริการภาครัฐ เช่นการแจ้งความในกรณีที่ถูกโจรกรรม หรือการถูกเอารัดเอาเปรียบจากการจ้างงาน คนเหล่านี้จะไม่สามารถติดต่อร้องเรียนต่อหน่วยงานภาครัฐในประเทศนั้น ๆ ได้เลย ทำให้เกิดสภาวะจำยอม ถูกเอาเปรียบต่อไป

 

— กำแพงด้านกฎหมาย —

ทุกประเทศล้วนแต่มีกฎหมายของตัวเอง  และมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างประเทศคิดถึงมากนัก และข้อปลีกย่อยทางกฎหมายเหล่านี้ มักจะไม่ถูกพูดถึงมากนัก เนื่องจากผู้คนในท้องถิ่นนั้น ๆ อยู่ร่วมกับกฎระเบียบเหล่านี้มาจนเคยชินจนเป็นเรื่องปกติของชีวิต

แต่สำหรับผู้ที่มาใหม่แล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่แปลกใหม่ จนอาจจะทำให้ถูกลงโทษทางกฎหมายโดยไม่รู้ตัว

ในประเทศไทยที่มีปริมาณน้ำให้ใช้มากจนแทบจะไม่ต้องพะวงในการใช้ชีวิตประจำวันนั้น การล้างรถด้วยสายยาง และการรดน้ำต้นไม้นั้น ถือเป็นเรื่องที่ปกติ สามารถทำได้โดยเสรี แต่ในประเทศที่ขาดแคลนน้ำอย่างออสเตรเลียนั้น การใช้น้ำนั้นมีรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ไม่สามารถใช้น้ำได้อย่างเสรี

การล้างรถด้วยสายยาง ถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายในหลายรัฐ และมีค่าปรับหลายร้อยดอลลาร์ออสเตรเลีย (ปัจจุบัน 1 ดอลลาร์ออสเตรเลีย เท่ากับประมาณ 23 บาท) อีกทั้งการรดน้ำต้นไม้ จะกระทำได้ในช่วงวันและเวลาที่รัฐกำหนดเท่านั้น และในบางรัฐมีมาตรการควบคุมการใช้สายยางรดน้ำต้นไม้อีกด้วย

อีกทั้งประชาชนจะต้องติดตามมาตรการควบคุมการใช้น้ำ (Water Restriction) ของรัฐบาลท้องถิ่น ซึ่งเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาและสถานการณ์น้ำของประเทศด้วย

สำหรับประเทศที่ให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างมาก อย่างในสหรัฐ การเข้าใจขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น มีความสำคัญมาก เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขอเข้าตรวจค้น ผู้ถูกตรวจค้นจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งให้ยกมือขึ้นเหนือศีรษะ เพื่อแสดงให้เห็นว่าปราศจากอาวุธโดยเคร่งครัด

เคยมีกรณีที่นักศึกษาหญิงสาวชาวจีน ที่เพิ่งจะเดินทางไปศึกษาต่อในสหรัฐได้ไม่นาน ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจค้นในระหว่างขับรถ ด้วยความตกใจเธอจึงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ยกมือขึ้น แต่ก้มลงควานหาพาสปอร์ต ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าใจผิดว่ากำลังควานหาปืน  จึงกระทำการวิสามัญฆาตกรรม ปลิดชีวิตเธอไป

— กำแพงความแตกต่างด้านสีผิว ชาติพันธุ์ —

ในหลายประเทศมีกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน ต่อต้านการเหยียดผิว และชาติพันธุ์อย่างเข้มแข็งก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าคนในชาตินั้นจะไม่มีคนทีมีแนวความคิดแบ่งแยกสีผิว และชาติพันธุ์เลย

ออสเตรเลียมีกฎหมายต่อต้านการแบ่งแยกเชื้อชาติ (The Racial Discrimination Act) มาตั้งแต่ปี 2518 แล้ว แต่ในปี 2540 นางพอลลีน แฮนสัน ส.ส. เขตอ๊อกเลย์ รัฐควีนส์แลนด์ ได้ก่อตั้งพรรควันเนชั่น (One Nation) โดยพรรคดังกล่าวมีนโยบายต่อต้านผู้อพยพ และปกป้องคนผิวขาวอย่างสุดโต่ง

 

และด้วยนโยบายดังกล่าวทำให้นางพอลลีนได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิก 2 สมัยตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบัน  อีกทั้งพรรควันเนชั่น มีที่นั่งในวุฒิสภา 2 ที่นั่งอีกด้วย

สำหรับในสหรัฐ แนวคิดคนขาวเป็นใหญ่ (White Supremacy) มีมาตั้งแต่ก่อนสงครามกลางเมืองสหรัฐ (ค.ศ. 1861-1865) และถึงแม้ว่าสหรัฐได้มีการปรับเปลี่ยนด้านสิทธิมนุษยชน ให้สิทธิแก่คนผิวดำมากขึ้น อีกทั้งการก่อตัวของกลุ่มแนวคิดตาสว่าง (Woke) จะทำให้เกิดแนวคิดคนดำเป็นใหญ่ (Black Supremacy) ขึ้นก็ตาม

แต่กลุ่มบุคคลที่สืบทอดแนวคิดคนขาวเป็นใหญ่ในสหรัฐนั้นยังคงมีอยู่ ซึ่งเห็นได้ชัดจากแนวทางการหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2559 ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากคนกลุ่มนี้ และออกมาแสดงตัวให้การสนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์

 

กลุ่มคนที่ได้รับความลำบากที่สุดจากการกระทบกระทั่งกันของแนวคิดคนขาวเป็นใหญ่ และคนดำเป็นใหญ่ คือชาวเอเชียอย่างคนไทย เนื่องจากไม่มีชาวเอเชียอยู่ในสมการนี้ ประกอบกับนโยบายของรัฐบาลสหรัฐ ที่เห็นจีนเป็นศัตรู ทำให้เกิดกระแสความเกลียดชังชาวจีน ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงชาวเอเชียตะวันออก และชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งหมด

เนื่องจากคนขาวและคนดำเหล่านั้น แยกไม่ออกระหว่างชาวจีน กับชาวเอเชียตะวันออก และชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจที่ช่วงหนึ่งมีกระแสขาวคนไทยในสหรัฐถูกทำร้าย เนื่องจากกระแสความเกลียดชังเหล่านี้

— กำแพงทางจิตใจ —

สุดท้ายแล้ว การเอาตัวรอดในสังคม ปัจจัยที่สำคัญที่สุดคือ จิตใจของตัวเอง การย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ ถึงแม้ว่าจะโชคดี ได้พบเจอแต่ผู้คนดี ๆ และมีทักษะทางภาษีที่ยอดเยี่ยมเพียงไร แต่ความเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ ได้ การที่ต้องห่างไกลจากผู้คนที่คุ้นเคยนั้น ทำให้เกิดอาการทางใจที่ทำให้เกิดการช๊อกทางวัฒนธรรม (Culture Shock)

ผู้ย้ายถิ่นฐานหลายคน ก้าวข้ามกำแพงทางใจนี้ไปไม่ได้ ไม่สามารถปรับตัวได้ ตัดใจกลับบ้านเกิดมาแล้วก็หลายคน

กุญแจที่สำคัญที่สุดในการย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศก็คือการรู้จักปรับตัว

— ข้อดีของการมีประสบการณ์ใช้ชีวิตในต่างประเทศ —

ที่กล่าวถึงทั้งหมดนั้น เป็นการกล่าวถึงอุปสรรคที่ผู้ย้ายถิ่นฐานทุกคนจะต้องพบเจอ และก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ มิใช่เพื่อบอกว่าการย้ายถิ่นฐาน หาโอกาสใหม่ ๆ ให้ชีวิตในต่างประเทศนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี

คนไทยหลายคนที่ก้าวข้ามผ่านจุดนั้นมาได้ จะมีทักษะพิเศษคือ “ทักษะการจัดการข้ามวัฒนธรรม (Cross-Culture Management)” ซึ่งเป็นทักษะในการทำความเข้าใจกับผู้คนที่มีความแตกต่างและหลากหลายทางวัฒนธรรม สามารถทำความเข้าใจ และบริหารจัดการผู้ที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างจากตนเองได้

ถือเป็นทักษะที่เป็นที่ต้องการของบริษัทข้ามชาติ และองค์กรข้ามชาติอย่างสหประชาชาติ ที่มีผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเข้ามาทำงานร่วมกัน และผู้ที่มีทักษะเช่นนี้นั้น ไม่ได้หาได้ง่ายนัก นอกจากนี้ การมีเพื่อนจากหลายชาติ เป็นโอกาสที่ดีในการสร้างคอนเน็กชั่นระดับโลก (Global Connection) อีกด้วย

นอกจากนี้ ทักษะที่ผู้ย้ายถิ่นฐานจะได้รับ คือทักษะการเอาตัวรอด ในสังคม เนื่องจากมีประสบการณ์ในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตนเองโดยตรง จึงมีความสามารถในการเอาตัวรอดได้ดี โดยเฉพาะคนไทยที่เลือกไปอยู่ในถิ่นที่แทบจะไม่มีคนไทย จึงมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ดีกว่าผู้ที่ย้ายไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีคนไทยรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น

— สิ่งที่ประเทศไทยจะได้ จากการที่คนรุ่นใหม่ออกไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศ —

สุดท้ายนี้ สังคมไทยไม่ควรมองว่าการที่คนรุ่นใหม่อยากออกไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องที่เลวร้าย แต่ควรเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้ออกไปแสวงหาโอกาสในชีวิตที่กว้างขึ้นมากกว่าเดิม

ย้อนเวลากลับไปกว่า 30 ปีที่แล้ว สังคมญี่ปุ่นเคยมีค่านิยมเรื่องการทำงานอย่างหนัก อุทิศทุ่มเทชีวิตให้กับบริษัทจวบจนวันตาย จนกลายเป็นปัญหาการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน ซึ่งส่งผลให้ญี่ปุ่นกลายเป็นปะเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

 

แต่ในวันนี้ ค่านิยมเหล่านี้เริ่มถูกต่อต้านในสังคมญี่ปุ่น จากการที่คนรุ่นใหม่ ๆ ของญี่ปุ่นได้มีโอกาสไปสัมผัสวัฒนธรรมต่างชาติ เริ่มมีแนวคิดที่แตกต่าง และนำกลับมาปรับใช้พัฒนาสังคมและค่านิยมของตนเอง

หรือในเกาหลีใต้ ที่ในอดีตมีแนวคิดชาตินิยมสุดโต่ง คิดว่าชนชาติตนเองดีที่สุด จนเกิดการเหยียดหยามชนชาติอื่นอย่างรุนแรง แต่คนเกาหลีใต้รุ่นใหม่ที่ได้มีโอกาสออกไปสัมผัสโลก ไม่ได้ปิดกั้นตัวเองอยู่เท่านั้น พวกเขาให้การยอมรับสิ่งที่ดีกว่าของชาติอื่น

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เราเห็นคนเกาหลีใต้บางคนเหยียดหยามคนไทย อย่างกรณีที่นิชคุณจากวง 2PM และลิซ่า เคยถูกกระทำ ในขณะที่อินฟลูเอ็นเซอร์ด้านการท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้หลายคน แสดงความรักเมืองไทยในคอนเทนต์ของพวกเขา และออกมาปกป้องประเทศไทยในบางครั้ง

สังคมเกาหลีใต้เองก็กำลังเปลี่ยนไป จากการที่เยาวชนชาวเกาหลีใต้มีประสบการณ์ในต่างแดนจากการย้ายถิ่นฐานเช่นกัน

การที่คนรุ่นใหม่สนใจที่จะออกไปหาประสบการณ์ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นโอกาสที่ดีของสังคมไทย ที่จะเรียนรู้สิ่งที่ดี และไม่ดีของชาติอื่น เพื่อนำกลับมาปรับใช้เพื่อการพัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองของพวกเรา

บทความโดย: ศิราวุธ ภุมมะกสิกร คอลัมนิสต์ The Structure 




เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า