
มิตซูบิชิเล็งตั้งฐานผลิตรถไฮบริดในไทย นับเป็นครั้งแรกที่จะมีการผลิตรถไฮบริดนอกประเทศญี่ปุ่น คาด ความต้องการรถไฮบริดจะยังสูงต่อเนื่องอีก 10 ปี
เมื่อวานนี้ (9 ส.ค. 66) สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานว่า ต้นปีหน้าบริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นจะเริ่มผลิตรถยนต์ไฮบริด (PHV) ในประเทศไทย เนื่องจากมิตซูบิชิคาดการณ์ว่าความต้องการรถยนต์ไฮบริด (PHV) จะยังสูงต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 10 ปี ซึ่งนี่จะถือว่าเป็นครั้งแรกที่มิตซูบิชิจะผลิตรถยนต์ไฮบริดนอกประเทศญี่ปุ่น
มิตซูบิชิเชื่อว่ากลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerge Market) จะต้องใช้เวลามากกว่านี้ในการที่คนจำนวนมากจะเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) เนื่องจากราคาที่ยังสูง ประกอบกับจำนวนจุดชาร์จแบตเตอรี่ยังมีจำกัด อีกทั้งรถยนต์ไฮบริดจะทำให้มิตซูบิชิมีความสามารถในการแข่งขันกับบริษัทยานยนต์จากจีน
จากผลการสำรวจตลาดในอินโดนีเซีย ถึงสาเหตุที่ไม่ตัดสินใจซื้อยานยนต์ไฟฟ้าโดยบริษัทวิจัย Milieu Insight ในสิงคโปร์ พบว่า 47% ตอบว่าเพราะราคาที่สูง และ 42% ให้เหตุผลว่าสถานีชาร์จไฟฟ้ามีน้อย
ในปัจจุบันนี้ โรงงานมิตซูบิชิในประเทศไทย จะผลิตรถมินิแวน X PANDER รุ่นไฮบริด ซึ่งเป็นรุ่นหลักที่มีสัดส่วน 10% ของยอดขายทั้งหมด และตั้งเป้าที่จะขายในตลาดเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง โดยในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ มิตซูบิชิจะเปิดตัวรถ SUV รุ่นใหม่ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวรถรุ่นไฮบริดตามมาในอนาคต
นอกจากนี้ มิตซูบิชิจะพิจารณาผลิตรถยนต์ไฮบริดในอินโดนีเซีย เพื่อใช้ประโยชน์จากนิกเกิลของอินโดนีเซียในการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต และวางแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรถไฮบริดและรถไฟฟ้าเป็น 50% ของยอดขายทั่วโลกภายในปี 2030 และจะยุติการจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมันภายในปี 2035 ก่อนนี้ มิตซูบิชิผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) ในประเทศญี่ปุ่น ในขณะที่ตลาดหลักอย่างเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ยังผลิตรถยนต์เบนซิน และดีเซลเป็นหลัก
ทั้งนี้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังมีความสำคัญต่อมิตซูบิชิมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สร้างรายได้จากการดำเนินงานคิดเป็น 70% ของรายได้จากการดำเนินงานรวม 307,100 ล้านเยน (ประมาณ 75,000 ล้านบาท) ของมิตซูบิชิ และถึงแม้ว่าความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าจะมาแรง แต่ความสนใจในรถยนต์ไฮบริดยังคงมีอยู่
บริษัทวิจัย GlobalData คาดว่ายอดขายรถยนต์ไฮบริดในอาเซียนจะเพิ่มขึ้นสิบเท่าเป็น 1.03 ล้านคัน ในปี 2035 ในขณะที่อดขายรถยนต์ใช้เฉพาะน้ำมันจะอยู่ที่ 1.82 ล้านคัน คิดเป็นลดลง 6% จากปี 2022 และในปี 2035 สัดส่วนของรถยนต์ไฮบริดจะเพิ่มขึ้นเป็น 33% ของทั้งหมด จากที่มีสัดส่วน 5% ในปี 2022 ในขณะที่ยานยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเพียง 7% ในปี 2035 ซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ำ