
ผังเมืองรวม กทม. มิได้สะท้อนเสียงของประชาชน ‘สภาผู้บริโภค’ ชี้การเปิดรับฟังความคิดเห็นโครงการผังเมือง กทม. ให้ข้อมูลไม่ครบ ไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน
สภาองค์กรของผู้บริโภค, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และภาคีเครือข่ายภาคประชาชนอื่น ๆ รวม 28 กลุ่ม เดินทางไปยื่นหนังสือแสดงความคิดเห็นคัดค้านการรับฟังความเห็นในโครงการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4) ต่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 ก.ค. 2567 ที่ศาลาว่าการ กรุงเทพมหานคร
โดยในเอกสารข้อเรียกร้องระบุว่ามีหลายชุมชนที่จะได้รับความเดือดร้อนหากผังเมืองดังกล่าวถูกประกาศบังคับใช้ และกลุ่มผู้ที่จะได้รับความเดือดร้อนนั้นได้ร่วมลงนามในเอกสารฉบับนี้ด้วย และทั้งหมดเห็นว่าการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 4) ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
อีกทั้งยังระบุถึงเหตุผลในการคัดค้านดังนี้
1 ผังเมืองดังกล่าวเป็นการออกแบบเมืองโดยเน้นการเพิ่มความหนาแน่นเข้าสู่จุดศูนย์กลางของเมือง ที่มิได้คำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เช่นปัญหาจราจร น้ำท่วม โรคระบาด อีกทั้งยังขาดการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชน ไม่เกิดความเป็นธรรมต่อกลุ่มคนผู้มีรายได้น้อย
2 มีการดำเนินการรับฟังความคิดเห็นที่ไม่เป็นไปตามขั้นตอนของประกาศคณะกรรมการผังเมือง มีการนำ “ร่างผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับเดิม” ที่จัดทำไว้ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2562 มาใช้เป็นเอกสารประกอบการประชุมรับฟังความคิดเห็นฯ กับประชาชน ซึ่งมีปัญหาและที่มาไม่ถูกต้อง ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนส่วนใหญ่
3 ไม่ได้มีการให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการที่ประชาชนจะเข้าใจถึงผลกระทบ ทำให้ประชาชนไม่สามารถร่วมแสดงความคิดเห็นได้ อีกทั้งยังจัดการประชุมอย่างรวบรัด ชี้นำประชาชน ให้เวลาซักถามน้อยมาก ไม่เอื้อประโยชน์ต่อการมีส่วนร่วมของประชาชน
4 การประชาสัมพันธ์การรับฟังความคิดเห็นได้อย่างไม่ทั่วถึง ประชาชนส่วนมากไม่ได้รับทราบถึงการเปิดรับฟังความคิดเห็น โดยตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา มีผู้เข้าร่วมเพียง 2 หมื่นคน หรือ 0.39% ของประชาชนทั้งหมดเท่านั้น
5 มิได้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนตามแนวถนน และคูคลองที่จะได้รับผลกระทบจากแผนการขยายถนนและคูคลอง
จึงขอเรียกร้องให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็นใหม่ตั้งแต่ต้น และหากกรุงเทพมหานครเพิกเฉย มิได้แก้ไขหรือยุติการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าว ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม 2567 สภาองค์กรของผู้บริโภค และเครือข่ายประชาชนที่ได้รับผลกระทบ อาจมีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อไป