Magna Carta มหากฎบัตรแม่แบบการ “จำกัดอำนาจกษัตริย์” กับการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยที่ยึดอำนาจสำเร็จแต่ล้มเหลว
กษัตริย์ คือสัญลักษณ์แห่งอำนาจสูงสุด แต่เมื่อกษัตริย์ไม่สามารถปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรมได้ บรรพชนต่างก็สรรหาวิธีในการจัดการกับกษัตริย์ทรราชย์เหล่านั้นได้ในที่สุด ประวัติศาสตร์โลกเป็นเช่นนี้เสมอมา นับตั้งแต่ทรราชย์เจี่ยถูกโค่นล้มเมื่อ 1675 ปีก่อนคริสตกาล คนโบราณล้วนสรรหาวิธีควบคุมกษัตริย์ให้อยู่ในกรอบตลอดมา
และ มหากฎบัตรแห่งเสรีภาพ แมกนา คาตา(Magna Carta of Liberties) คือหนึ่งในกระบวนวิธีทางกฎหมายที่ถูกอออกแบบมาเพื่อใช้ในการควบคุมกษัตริย์
ครั้งนั้น ในรัชสมัยของพระเจ้าจอห์นแห่งอังกฤษ (ค.ศ.1166 – 1216) ทรงปกครองประเทศด้วยความโหดร้าย ไม่เป็นธรรม ทรงลงโทษผู้คนอย่างไร้เหตุผล และเรียกเก็บภาษีอย่างหนัก จนบรรดาขุนนางศักดินามิอาจทนรับไว้ จึงร่วมมือกันก่อกบฏ ยกทัพล้อมกรุงลอนดอนเอาไว้ พระเจ้าจอห์นจึงทรงยอมสงบศึก และเจรจาตกลงกับเหล่าขุนนางศักดินาและพระ จนได้เป็นมหากฎบัตรแมกนา คาตาฉบับนี้
และนับตั้งแต่ นั้นมา แมกนา คาตา กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบกฎหมายอังกฤษ และอีกหลาย ๆ ประเทศมาตลอดจวบจนปัจจุบัน [1]
แมกนา คาตานี้ได้รับการยกย่องว่า “เอกสารรัฐธรรมนูญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล – รากฐานของเสรีภาพของแต่ละบุคคลในการต่อต้านอำนาจโดยพลการของผู้เผด็จการ” [2] และเป็นแรงบันดาลใจให้โทมัส เจฟเฟอสันในการร่าง “คำประกาศอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา” ในอีก 500 ปีต่อมา [3] และโทมัส เจฟเฟอสัน มีส่วนช่วยมาร์ควิส เดอ ลาฟาแย็ต ในการร่างคำประกาศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและพลเมือง 1789 ของฝรั่งเศส [4]
ใจความที่สำคัญ และส่งผลกระทบต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน ของแมกนา คาตา ระบุถึงสิทธิของเสรีชน สิทธิของหญิงม่ายที่จะปฏิเสธการแต่งงานใหม่ที่เธอไม่ต้องการ สิทธิในการรับการตัดสินคดีอย่างยุติธรรมของประชาชน สิทธิในการเดินทางค้าขายและอพยพโดยเสรี [5] [6]
และเหตุผลที่เนื้อความของมหากฎบัตรออกมาเป็นเช่นนี้นั้น เป็นเพราะวัตถุประสงค์แรกเริ่มของมหากฎบัตร คือการ “จำกัดพระราชอำนาจของผู้ปกครอง” ให้อยู่ในกรอบที่เหมาะสมนั่นเอง
แต่เมื่อหันกลับมามองเหตุการณ์ปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 แล้ว เราจะเห็นว่า แม้จุดเริ่มต้นของการก่อการ ก็เริ่มต้นด้วย “คำโกหก ใส่ร้าย” อาทิเช่น
“กษัตริย์คงทรงอำนาจเหนือกฎหมายอยู่ตามเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต” [7]
“รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส เป็นสัตว์เดรฉานไม่นึกว่าเป็นมนุษย์” [7]
“รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร” [7]
“เพราะราษฎรยังโง่” [7]
และประวัติศาสตร์ของประเทศไทย นับตั้งแต่ 2475 เป็นต้นมา เหล่าคณะราษฎร์ แทนที่จะบริหารประเทศอย่างเป็นธรรมตามที่สัญญาเอาไว้ ก็กลับทุจริต คดโกง และแย่งชิงอำนาจกันเอง “มิได้สุจริตตามที่เขาหลอกลวง”
นี่เราจะเห็นได้ชัดว่า “มหากฎบัตรแห่งเสรีภาพ แมกนา คาตา” นี้ ถูกสร้างขึ้นจากวัตถุประสงค์เพื่อมวลชน และความสงบเรียบร้อยของชาติ จึงถูกใช้งาน ปรับปรุงต่อ ๆ จวบจนปัจจุบัน กินเวลาถึง 800 ปี ในขณะที่ ประชาธิปไตยของไทยนั้น จุดเริ่มต้น ก็ฉ้อฉล คดโกงแล้ว ผลสืบเนื่องต่อมา คือฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงกินชาติบ้านเมือง แย่งชิงผลประโยชน์โดยไม่เห็นหัวประชาชนนั่นเอง
กระดุมเม็ดแรก ก็ผิดมหันต์แล้ว ยังจะดื้อ ย้อนเวลาหา 2475 กันอีกเหรอ ?