
“เกาะกูดเป็นของไทย 100% และนายกฯได้ประกาศแล้วว่า เราจะไม่ยอมเสียดินแดนตรงนี้ไปและรักษาไว้เท่าชีวิต”
นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ น.ส. แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าหากมีการยกเลิก MOU ฉบับนี้ ไทยอาจจะเสียผลประโยชน์มากกว่า โดยกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปดูสนธิสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ซึ่งมีการระบุว่าเกาะกูดนั้นเป็นของไทย และเรื่องนี้ก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง อีกทั้งทางกัมพูชาเองก็มิได้อ้างสิทธิในเรื่องนี้
“ดังนั้น การนำมาเป็นประเด็นว่าจะยกเกาะกูดให้จึงไม่เป็นจริง และไม่เกี่ยวกับเอ็มโอยูดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าเกาะกูดเป็นของไทย 100% และนายกฯได้ประกาศแล้วว่าเราจะไม่ยอมเสียดินแดนตรงนี้ไป และรักษาไว้เท่าชีวิต ซึ่งขณะนี้เรามีหน่วยงานราชการต่างๆอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว และขอให้ยุติเรื่องนี้เพราะเป็นคำพูดที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง” นายภูมิธรรมกล่าว
อีกทั้งยังอธิบายเพิ่มเติมว่า แต่เดิมที กัมพูชาประกาศไหล่ทวีปเข้ามาใกล้เขตแดนไทยในปี 2515 และทางการไทยประกาศพื้นที่เข้าไปใกล้เขตแดนของกัมพูชาในปี 2516 ซึ่งทำให้เกิดพื้นที่ทับซ้อนขึ้น
จึงทำให้ต้องมี MOU 2544 เพื่อให้เกิดการเจรจาแบ่งดินแดนในทะเลระหว่างกัน ซึ่งถ้าหากเข้าใจในประเด็นนี้ ก็จะไม่เกิดความสับสน และถ้าหากว่าไทยยกเลิก MOU 2544 ไป ก็เท่ากับว่าไทยไม่รักษาสิทธิในเขตแดน
อีกทั้งในสมัยรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เคยมีความพยายามในการยกเลิก MOU 2544 จากกรณีความขัดแย้งเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งในเวลานั้นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ได้แค่รับหลักการไปดูรายละเอียด และทุกหน่วยงานยืนยันว่า MOU 44 เป็นกลไกที่ดีที่สุดในการเจรจา ทำให้รัฐบาลนายอภิสิทธ์มิได้ประกาศยกเลิก
ต่อมาในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ได้มีการมอบหมายให้ พลเอกประวิตร วงศ์สุวรรณ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีกำกับด้านความมั่นคง ไปเจรจา
ซึ่งการที่กลุ่มการเมืองพรรคพลังประชารัฐออกมาโจมตีเรื่องนี้นั้น ก็ขอให้ย้อนกลับไปฐานพลเอกประวิตร ว่าเหตุในในเวลานั้นถึงกลับไปเจรจากับกัมพูชา