
เมื่อไทยเข้ากลุ่ม BRICS ‘โอกาส’ และ’ ความเสี่ยง’ ที่ประเทศไทยต้องบริหารจัดการ เพื่อรักษาสมดุลระหว่างสองขั้วอำนาจเศรษฐกิจโลก บทความโดย: รชฏ ปราการพิลาศ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
การประชุมสุดยอดผู้นำ BRICS เดือนสิงหาคม 2566 ที่แอฟริกาใต้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้เข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมในครั้งนั้น ซึ่งที่ประชุมสุดยอดผู้นำได้มีมติผลักดันการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อลดการพึ่งพาสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อย่างต่อเนื่อง และเปิดกว้างที่จะรับประเทศสมาชิกใหม่
การประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2566 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบร่างหนังสือแสดงความประสงค์ของไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกลุ่ม BRICS ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยร่างหนังสือฉบับดังกล่าวได้กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของไทยที่ให้ความสำคัญต่อระบบพหุภาคีนิยม และการเพิ่มบทบาทของประเทศกำลังพัฒนาในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของกลุ่ม BRICS
ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย มาริษ เสงี่ยมพงษ์ ได้เข้าร่วมการประชุมหารือระหว่าง BRICS กับประเทศกำลังพัฒนา (BRICS Dialogue with Developing Countries) ในห้วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศของกลุ่ม BRICS ในวันที่ 11 มิถุนายน 2567 ที่เมืองนิจนีนอฟโกรอด รัสเซีย และได้ยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการต่อเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหพันธรัฐรัสเซีย ในฐานะที่เป็นประธานกลุ่ม BRICS ในปัจจุบัน เพื่อขอเข้าร่วมกลุ่มและเพื่อให้ทางกลุ่มพิจารณา
— BRICS มีความสำคัญยังไง และทำไมไทยต้องสมัครเข้าร่วมกลุ่ม BRICS —
BRICS มีประเทศสมาชิก 5 ประเทศ ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ โดยเพิ่งมีสมาชิกใหม่เข้ามาอีก 5 ประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ประกอบด้วย อียิปต์ เอธิโอเปีย อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ โดยมี 2 ชาติมหาอำนาจที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างจีน และรัสเซียเป็นสมาชิก
การขยายฐานสมาชิกของกลุ่ม BRICS ในต้นปี 2567 ทำให้กลุ่ม BRICS มีฐานประชากรโลกราว ๆ จะทำให้ครอบคลุมประชากรราว 3.5 พันล้านคน หรือราว 45% ของประชากรโลก
ถ้าพิจารณาในแง่มูลค่าทางเศรษฐกิจแล้ว ขนาดเศรษฐกิจของกลุ่มบริกส์ มีมูลค่ากว่า 28.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 28% ของมูลค่ารวมของเศรษฐกิจโลก และที่สำคัญ คือ ประเทศสมาชิกกลุ่มบริกส์ยังเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบป้อนตลาดโลกราว 44% อีกด้วย [1]
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยออกบทวิเคราะห์ในเรื่องนี้เมื่อเดือนตุลาคม 2566 ว่า BRICS เป็นการรวมกลุ่มเศรษฐกิจแบบกว้าง ไม่มีข้อกำหนดการเปิดตลาด และสิทธิประโยชน์เหมือนข้อตกลงเขตการค้าเสรี จะส่งผลให้ไทยที่หากเข้าร่วมกลุ่มจะเป็นการเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจให้ไทยเข้าถึงกลุ่มตลาดเกิดใหม่ทั่วทุกมุมโลก [2]
อาทิ ด้านการค้า และการลงทุน โดยจะให้ประเทศสมาชิกสามารถชำระเงินด้วยสกุลเงินท้องถิ่น รวมถึงให้โอกาสแก่ประเทศสมาชิกสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนการพัฒนาเศรษฐกิจ [2]
ปัจจุบันกลุ่ม BRICS มีบทบาทต่อการค้าของไทยถึง 22.8% ของการค้ารวมไทยทั้งหมด ใกล้เคียงกับกลุ่ม G7 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 26.2% ของการค้ารวมไทย
ในมิติการเมือง BRICS คือ การรวมตัวของแกนนำประเทศกำลังพัฒนาที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในแต่ละทวีปที่ท้าทายขั้วโลกตะวันตกที่นำโดยสหรัฐอเมริกา จีนและรัสเซียมุ่งหวังที่จะให้ BRICS เป็นกลไกสนับสนุนการสร้างระเบียบระหว่างประเทศที่เอื้ออำนวยที่มีจีนและรัสเซียเป็นแกนกลาง
ซึ่งเป็นประเด็นที่สมาชิกกลุ่ม BRICS อาจจะไม่เห็นพ้องต้องกัน เพราะบางประเทศสมาชิกอย่างอินเดีย ยังต้องการปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป
Hung Tran นักวิชาการแห่ง Atlantic Council คิดเห็นว่า BRICS อาจไม่ช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีความแข็งแกร่ง แต่การที่ไทยเข้ากลุ่ม BRICS ถือเป็นสัญลักษณ์ว่าไทยพร้อมเปิดรับมหาอำนาจทุกประเทศและทุกกลุ่ม อันเป็นจุดยืนที่สอดคล้องกับประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน [3]
Ian Chong ระบุว่าสาเหตุที่ไทยประสงค์เข้ากลุ่ม BRICS เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันมีมุมมองว่าจะช่วยกระจายความสัมพันธ์ของห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งโอกาสที่ไทยจะมีกระแสเงินทุนสนับสนุนในยามที่ไทยประสบกับปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากทัศนะที่หลายมองว่าเศรษฐกิจไทยยังต้องพึ่งพิงจีน [4]
ขณะที่ท่าทีของประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน Eerishika Pankaj ผอ.องค์กรเพื่อการวิจัยด้านจีนและเอเชีย มองว่าการที่ไทยสมัครเป็นสมาชิกของ BRICS จะยังไม่ทำให้ประเทศสมาชิกอื่น ๆ ในอาเซียนเข้ากลุ่ม BRICS อย่างทันที เพราะยังต้องใช้ความระมัดระวังต่อการรักษาสมดุลระหว่างจีนกับสหรัฐฯ [5]
สำหรับไทยเองคงมองว่า การเข้ากลุ่ม BRICS จะยกระดับสถานะและบทบาทของไทยในประชาคมระหว่างประเทศ กระชับความร่วมมือกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีศักยภาพจะก้าวขึ้นมามีบทบาททางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคต โดยเฉพาะด้านการค้า การลงทุน การเงิน ความมั่นคงด้านอาหารและความมั่นคงด้านพลังงาน
นอกจากนี้ การเข้าเป็นสมาชิก BRICS ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้ประเทศไทยได้ร่วมสร้างระเบียบโลกใหม่ที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีบทบาทสำคัญ มีความครอบคลุม และไม่มุ่งต่อต้านกลุ่มใด
— เหรียญย่อมมีสองด้าน เมื่อมีโอกาส ย่อมมีความเสี่ยง —
ขณะที่ไทยเห็นโอกาสและประโยชน์หลายด้านที่จะได้จากการเป็นสมาชิกกลุ่ม BRICS แต่ไทยต้องยอมรับความเสี่ยงที่จะตามมา เพราะ BRICS คือคู่ตรงข้ามกับ G7 ที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งไทยเป็นประเทศพันธมิตรสำคัญ 5 ประเทศของสหรัฐฯ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
หากไทยเข้าเป็นสมาชิก BRICS ก็มีความเสี่ยงที่ไทยอาจจะไม่ได้รับโอกาสบางอย่างที่สหรัฐฯ และกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมอบให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาที่พวกเขามองว่า “เป็นพวกเดียวกัน” โดยเฉพาะการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการผลิตเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่กำลังเป็นเทรนด์การพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ
หรือแม้แต่ภาพพจน์ที่ในอนาคต ไทยอาจไม่ทราบได้ว่า BRICS จะผลักดันประเด็นใดที่ขัดแย้งกับค่านิยมของโลกสากลหรือไม่ ซึ่งนั่นอาจจะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายของไทยที่ต้องการจะสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีโลกได้ และไทยต้องเตรียมพร้อมรับมือทุกสถานการณ์
บทความโดย: รชฏ ปราการพิลาศ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน
อ้างอิง
[1] https://www.bbc.com/thai/articles/c3gy6n34y5do
[3] https://www.voanews.com/a/experts-thailand-s-bid-to-join-brics-is-mostly-symbolic-/7655219.html
[4] https://www.bignewsnetwork.com/news/274413445/thailand-takes-next-steps-to-join-brics
[5] https://www.voanews.com/a/experts-thailand-s-bid-to-join-brics-is-mostly-symbolic-/7655219.html