ล้มรัฐบาลแล้วก็ยังไม่หยุด อิสราเอลถล่มซีเรียต่อเนื่อง โดยโจมตีทางอากาศไปแล้วกว่า 350 ครั้งใน 2 วันที่ผ่านมา อ้างเพื่อป้องกันไม่ให้อาวุธ ตกอยู่ในมือกลุ่มหัวรุนแรง
กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) เปิดเผยเมื่อวันอังคาร (10 ธ.ค.) ว่าได้โจมตีทางอากาศต่อคลังอาวุธทางยุทธศาสตร์ทั่วซีเรียไปแล้วกว่า 350 ครั้งในช่วง 48 ชั่วโมงที่ผ่านมา เพื่อป้องกันไม่ให้อาวุธตกไปอยู่ในมือของกลุ่มหัวรุนแรง โดยสามารถทำลายคลังอาวุธทางยุทธศาสตร์ของซีเรียได้ส่วนใหญ่
เป้าหมายการโจมตีคือ คลังอาวุธต่อต้านอากาศยาน คลังขีปนาวุธ สนามบินทางทหาร คลังขีปนาวุธ และโรงงานผลิตอาวุธหลายสิบแห่งในกรุงดามัสกัส และเมืองอื่นๆ เรือยิงขีปนาวุธของอิสราเอลยังได้โจมตีกองเรือรบซีเรียที่เมืองท่าอัล-เบดา (Al-Bayda) และลาตาเกีย (Latakia) ของซีเรีย ซึ่งมีเรือ 15 ลำจอดเทียบท่าอยู่
นายกรัฐมนตรี เบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ระบุว่าการโจมตีดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำลาย “ศักยภาพทางทหาร” ที่เหลืออยู่ของรัฐบาลอัสซาดที่ถูกโค่นล้ม และกล่าวว่าอิสราเอลต้องการสร้างความสัมพันธ์กับรัฐบาลใหม่ในซีเรีย
อียิปต์ จอร์แดน และซาอุดีอาระเบีย ต่างออกมาประณามการรุกรานของอิสราเอล โดยระบุว่า การกระทำดังกล่าวละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และอิสราเอลกำลังฉวยโอกาสจากความวุ่นวายในซีเรีย
หลังจากการล่มสลายของระบอบอัสซาด กองกำลังอิสราเอลได้เคลื่อนตัวเข้าไปในพื้นที่บริเวณที่ราบสูงโกลัน ซึ่งเคยเป็นเขตกันชนระหว่างอิสราเอลกับซีเรียมาตั้งแต่มีการลงนามข้อตกลงในปี 1974 หลังสงครามยม-คิปปูร์ (Yom Kippur) โดยให้เหตุผลว่าเพื่อเป็นการปกป้องพลเมืองของอิสราเอล
อิสราเอลมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเรื่องการเข้ายึดครองดินแดนของประเทศเพื่อนบ้านในช่วงสงคราม โดยอ้างเหตุผลด้านความมั่นคง อิสราเอลเข้ายึดพื้นที่บางส่วนของที่ราบสูงโกลันจากซีเรียในสงครามตะวันออกกลางเมื่อปี 1976 และผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล แต่ไม่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ยกเว้นจากสหรัฐอเมริกา