ยุทธศาสตร์ Hyundai Motor ด้านไฮบริด-รถไฟฟ้า-ไฮโดรเจน โดยเปิดตัวแผนลงทุนทุกโครงการกว่า 3 ล้านล้านบาท ทั้งด้านการสัญจรอัจฉริยะและด้านพลังงาน

Hyundai Motor เปิดเผยแผนการเติบโต 2 ทาง ด้านการสัญจรอัจฉริยะและพลังงาน เพื่อยกระดับตำแหน่งของตนในฐานะผู้ให้บริการโซลูชันการสัญจรอัจฉริยะชั้นนำของโลก

Hyundai Motor เมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) เผยแผนการเติบโต 2 ทาง ภายใต้กลยุทธ์ระยะกลางถึงระยะยาวของกลุ่มที่เรียกว่า “Hyundai Way” เตรียมลงทุนด้านการสัญจรอัจฉริยะและพลังงาน 120.5 ล้านล้านวอน (3.07 ล้านล้านบาท) จนถึงปี 2033 ซึ่งเพิ่มขึ้น 10% จากแผนการลงทุนที่เปิดเผยเมื่อปีที่แล้ว

บริษัทได้ชี้แจงเสาหลักการเติบโตที่สำคัญ 2 ประการสำหรับกลยุทธ์นี้ ได้แก่ การใช้พลังงานไฟฟ้าและไฮโดรเจน โดยเงินลงทุนกว่าครึ่งหนึ่งจะใช้เพื่อพัฒนารถยนต์ไฮบริดรุ่นต่อไป รถยนต์ไฟฟ้าแบบขยายระยะ (EREV) และแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า

Hyundai Motor กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าผลิต EREV จำนวนมากในอเมริกาเหนือและจีนในช่วงปลายปี 2026 โดยจะเริ่มจำหน่ายในปีถัดไป เนื่องจาก EREV รุ่นใหม่ของวิ่งได้มากกว่า 900 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง Hyundai Motor จึงคาดหวังว่าจะทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมก่อนที่จะมีการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ

บริษัทมีแผนที่จะขยายไลน์ผลิตภัณฑ์รถยนต์ไฟฟ้าเป็น 21 รุ่นภายในปี 2030 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะกลาง โดยตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของโลก นอกจากนี้ บริษัทจะชดเชยความต้องการรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงชั่วคราว ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านรถยนต์ไฮบริด โดยตั้งเป้าขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ไฮบริดเป็น 14 รุ่น ซึ่งรวมถึงรถเก๋งขนาดเล็กและยานยนต์หรู

Hyundai Motor ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ไฮบริดประจำปีไว้ที่ 1.33 ล้านคัน ในปี 2028 เพิ่มขึ้น 40% จากเป้าหมายที่ประกาศไว้เมื่อปีที่แล้ว

ในส่วนของวิสัยทัศน์ด้านพลังงาน Hyundai Motor เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเสริมสร้างความเป็นผู้นำในฐานะบริษัทยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฮโดรเจน

ก่อนหน้านี้ Hyundai Motor เคยให้คำมั่นว่าจะสร้างห่วงโซ่คุณค่าพลังงานไฮโดรเจน (hydrogen energy value chain) ที่ครอบคลุม ซึ่งครอบคลุมถึงการผลิต การจัดเก็บ และการขนส่ง โดยความคิดริเริ่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน

Hyundai Motor ยังมีแผนที่จะพัฒนาแบตเตอรี่นิกเกิล-โคบอลต์-แมงกานีส (NCM) เองภายในปี 2030 

(1 วอน = 0.025 บาท)