
Here We Go (69) ถอดกลยุทธ์ “ถอยอำพรางรุก” ของก้าวไกล แก้เงื่อนปมประเด็น แบ่งแยกดินแดน วิเคราะห์คดีหุ้นสื่อ ITV ของพิธา
วันนี้เราพอเห็นแล้วว่าการเมืองที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านมีรัฐบาลใหม่เกิดขึ้นในไม่ช้าไม่นานนี้ จะมีผลอย่างยิ่งต่อประเทศไทยของเรา การเมืองที่เห็นในวันนี้ไปเชื่อมโยงกับอนาคตของชาติบ้านเมือง
เราได้เห็นกลเกมการแก้ไขมาตรา 112 พอถูกต่อต้าน แถมยังจะเป็นเงื่อนไขที่อาจทำให้ใครบางคนไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ถอยไปนิด เอาออกจาก MOU เสีย แต่พรรคไม่เลิกเรื่องนี้ หรือการถอยโดยยอมใส่ข้อความในรัฐธรรมนูญไว้ในบทเริ่มต้นของ MOU อย่างขัดใจกับผู้นำจิตวิญญาณที่ยืนทะมึนอยู่ข้างหลังพรรค
ถอยเรื่องค่าแรงขั้นต่ำวันละ 450 บาท ถอยคุณศิริกัญญา ไปซ่อนไว้เงียบๆ สักพัก แต่เธอยังจะเป็น รมว.คลังในฝันของก้าวไกล
ขณะเดียวกันก็ได้เห็นการเดินหน้าต่อในเรื่องที่จะมีผลต่ออนาคตของประเทศไทย ยกตัวอย่างร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. ซึ่งก้าวไกลมั่นใจว่ากว่า 50% ของ สสร.จะเป็นคนของตน เสียงข้างมากใน สสร. ก็บ่งบอกได้ถึงหน้าตาของรัฐธรรมนูญ
นินทากันว่าคุณปิยบุตรและ iLAW ร่างเอาไว้เสร็จแล้ว มีทั้งบทหลัก บทที่ปรับปรุงหากถูกโต้แย้ง สสร.เกิดเมื่อไร ได้เห็นคุณปิยบุตรเข้าไปมีบทบาทอย่างใดอย่างหนึ่งที่กฎหมายไม่ห้าม อันนี้อันตรายกว่ายกเลิกมาตรา 112
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ถ้าไม่ทำโดยปฏิวัติ ก็ต้องโดยมีรัฐธรรมนูญใหม่ ไม่มีโอกาสใดจะเหมาะเท่าโอกาสใน 4 ปีหรือ 5 ปี หรืออย่างช้าก็ภายใน 8 ปีข้างหน้า ที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศอีกแล้ว
อีกตัวอย่างเล็กๆ แต่ทำนายว่าจะมีผลกระทบต่อพระพุทธศาสนาในบ้านเราวันข้างหน้า มีภาพออกสื่อว่า คุณชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด ในฐานะว่าที่ ส.ส.ปทุมธานี เข้าไปเยี่ยมวัดธรรมกาย สนทนาธรรมกับพระทัตตชีโว ผู้ดูแลวัดธรรมกายของธัมมชโย ในปัจจุบัน
คุณชลธิชา ชื่นชมธรรมของพระทัตตชีโวและจะนำมาใช้ในงานการเมืองและการดูแลประชาชน ดูเหมือนเข้าหลักปกครองโดยธรรม แต่ให้ระวังการฟื้นคืนของวัดธรรมกายและการกลับมาของธัมมชโย พระทัตตชีโว ในอดีตมีสมณศักดิ์ พระราชภาวนาจารย์ แต่ถูกถอดสมณศักดิ์ เพราะให้การช่วยเหลือธัมมชโยที่ถูกออกหมายจับ รัฐบาลนี้พ้นไป นิกายธรรมกายจะกลับคืนมาหรือไม่ ตามดูกัน
———-
ต้องยอมรับว่าที่ผ่านๆมาพรรคก้าวไกลได้วาดภาพอนาคตของประเทศผ่านนโยบายทางการเมืองของพรรคหลายประเด็นทำให้คนไทยเกิดความกลัวว่าบ้านเมืองเสี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้งแตกแยก เหมือนตัวอย่างข้างบนเช่น การยกเลิกมาตรา 112 เป็นปมปัญหาที่แม้กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาลที่มาทำ MOU กันยังไม่ยอมรับเกรงจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ
แต่อีกตัวอย่างที่เข้ามาใหม่ สร้างความน่ากลัวไม่น้อยกว่ากันคือ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา กลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ขบวนนักศึกษาแห่งชาติ” มีการจัดกิจกรรม “สิทธิกำหนดใจตนเองกับสันติภาพปาตานี” ที่ มอ.ปัตตานี
คนไทยส่วนใหญ่คงๆ ได้อ่านข่าว ชมคลิป มีการอภิปราย แสดงความเห็นของนักการเมือง นักวิชาการมีชื่อเสียงในเรื่อง จชต. หลายคน มีการให้นักศึกษา มอ.ปัตตานีมาอ่านแถลงการณ์ซึ่งถือได้ว่ารุนแรง สุ่มเสี่ยงผิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งระดับนักศึกษาไม่น่าเขียนแถลงการณ์ออกมาได้ขนาดนี้ ทำไปแล้วเหมือนยืนประกาศเอกราชของสามจังหวัดชายแดนใต้เลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้นมีการสาธิตออกเสียงประชามติ ให้ประชาชนนักศึกษาที่มาร่วมงานเข้าคูหากาบัตร เห็นด้วยกับสิทธิในการกำหนดใจตนเองหรือไม่ ที่จะให้ประชาชนออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราชอย่างถูกกฎหมาย
พอข่าวเรื่องนี้ออกไป เสียงวิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางและไปในทางเห็นว่ากิจกรรมนี้ผิดกฎหมายอาญา ขัดรัฐธรรมนูญ แม้ผู้จัดและผู้สนับสนุนจะอ้างว่าเป็นเรื่องทางวิชาการ เป็นเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ฝ่ายรัฐก็แถลงว่ากำลังรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการตามกฎหมาย สภาความมั่นคงก็ประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว กว่า HWG ของเราจะถูกเผยแพร่คงมีรายละเอียดเพิ่มเติมให้ได้รับรู้กันแล้ว
หลังจากกิจกรรมจบลงนักวิชาการแทบทุกด้านต่างออกมาให้ความเห็นตรงกันว่ากิจกรรมนี้สะท้อนถึงความต้องการแบ่งแยกดินแดนซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ สมาชิกบางคนของกลุ่มนี้เป็นแนวร่วมของกลุ่ม BRN ซึ่งก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ทุกวันนี้ ซ้ำยังเคยประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่าต้องการแยกตัวเป็นอิสระจากไทย ที่เลวร้ายกว่านั้นผู้เข้าร่วมกิจกรรมครั้งนี้มีว่าที่ ส.ส.จากพรรคการเมืองที่ไปร่วมเซ็น MOU กับพรรคก้าวไกลไปร่วมด้วย มีลูกหลานของ ส.ส.หลายพรรคเป็นตัวตั้งตัวตี
ที่อยากตั้งข้อสังเกตไว้เพิ่มเติมคือ งานนี้ กิจกรรมครั้งนี้ ถ้ารัฐบาลจะเอาผิดอย่างจริงจัง คนที่ให้ความคิด ออกแบบ ผลักดันให้ก่อตั้งขบวนนักศึกษาแห่งชาติปาตานี ผลักให้ขบวนนี้ออกหน้าจัดกิจกรรม น่าจะรอดจากการถูกดำเนินคดี เพราะบางคนถอนตัวไม่ไปร่วมงาน และหลายคนออกมาให้สัมภาษณ์ไม่เห็นด้วยกับการออกเสียงประชามติแยกตัวเป็นเอกราช
บางคนไปขึ้นเวทีอภิปราย แต่ออกตัวว่าไม่รู้เลยว่ามีกิจกรรมที่เกี่ยวกับการแยกตัวเป็นเอกราชเกิดขึ้นด้วย เรียกว่าถ้าใครติดตามข่าวการสัมภาษณ์ ดูรายชื่อผู้คนที่ออกมาให้สัมภาษณ์ จะเข้าใจได้ทันทีว่างานนี้คนอยู่เบื้องหลัง
มาถึงตอนนี้พวกผู้ใหญ่นักการเมือง หรืออาจารย์ ได้ถีบหัวส่งขบวนนักศึกษาที่ว่านั้นไปเรียบร้อยแล้ว จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่เป็นอีกครั้งที่นักศึกษาเยาวชนถูกกลลวงให้ทำโน่นทำนี่ แล้วต้องรับกรรมที่ผู้ใหญ่วางบทให้พูดให้ทำ จะต้องมีอีกกี่ครั้งกี่หนที่ลูกหลานจะต้องเป็นแพะเช่นครั้งนี้หรือหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ ได้แต่ภาวนาถ้ากฎหมายตามไม่ทัน ก็ขอให้กรรมตามทันคนที่อยู่เบื้องหลัง
———-
เรื่องกิจกรรมของเยาวชนนักศึกษาข้างต้นพรรคก้าวไกลกับพรรคร่วม MOU จะว่าอย่างไร อย่าลืมว่าก่อนหน้านี้มูลนิธิคณะก้าวหน้าสนับสนุนให้มีการทำบอร์ดเกมที่ชื่อว่า Patani colonial territory เผยแพร่ในหมู่เยาวชนสามจังหวัดชายแดนใต้มาก่อนเนื้อหาที่นำมาเสนอในเกมก็บิดเบือนข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เช่นเรื่อง การเจาะเอ็นร้อยหวายคนมลายู
จนเป็นประเด็นที่นักวิชาการทางประวัติศาสตร์ ต่างออกมาบอกว่าไม่มีข้อความจริง ทั้งหมดเป็นการนำเสนอเพื่อสร้างบาดแผลในใจแก่เยาวชนเพราะต้องการผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรค
การประกาศขอแยกตัวเป็นเอกราชของนักศึกษากลุ่มนี้ คือผลพวงของการฝังความคิดผิดๆ อย่างปฏิเสธไม่ได้ ยิ่งการประกาศนโยบายยกเลิก พรก.ฉุกเฉิน ก็ดี ยุบหน่วยทหารที่ดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ก็ดี หรือการเปิดทางให้นานาประเทศเข้ามามีส่วนแก้ปัญหาในจังหวัดชายใต้ก็ดี ต่างแสดงถึงความสอดรับและเอื้อต่อแนวคิดของนักศึกษากลุ่มนี้ จนนำมาสู่การแสดงออกที่ชัดแจ้งอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย
แบบนี้คุณพิธา พรรคก้าวไกล พรรคร่วม MOU จะว่าอย่างไร จะประชุมกันแล้วปฏิเสธข้อเสนออย่างเดียวคงไม่พอ ต้องบอกด้วยว่าจะทำอย่างไรกับ ส.ส.ที่เข้าไปมีส่วนร่วม รวมถึงกลุ่มที่เข้าไปมีส่วนสนับสนุนชี้แนะไม่ว่ากลุ่มในไทยหรือต่างประเทศ
ถ้าพรรคร่วม MOU บอกว่ายังไม่มีอำนาจหน้าที่เต็มตัว ก็จะเสนอให้คุณประยุทธ์ใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดจัดการกับคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดซะทีเดียว ช่วยเหลือคนในพื้นที่ไม่ต้องอยู่กับความหวาดระแวงคาดเดาได้ว่าตอนนี้ความกลัวกำลังแผ่ซ่านเข้าไปในความรู้สึกของคนไทยทั้งประเทศ คำกล่าวของพรรคก้าวไกลที่ว่าประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิม เริ่มเห็นเป็นจริงแล้ว
———-
เรื่องนี้ก็ต้องหนีไม่พ้นว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 คุณพิธา ที่ดูเหมือนว่าหุ้น itv จะกลายเป็นของแสลงสำคัญของคุณพิธาไปแล้ว ที่อาจจะทำให้คุณพิธาพลาดหวังไปไม่ถึงดวงดาว ยังคาดเดาไม่ถูกว่าจะมีการวินิจฉัยจากหลักฐานข้อเท็จจริงออกมาในรูปแบบใด
กองเชียร์ก็ว่าน่าจะไม่ผิด กองไม่เชียร์ก็ว่าผิดชัดเจน แฟนคลับของทั้งสองฝ่ายที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ต่างก็เป็นบุคคลที่มีความรู้ทั้งด้านกฎหมายและด้านรัฐศาสตร์มีอิทธิพลต่อความคิดของคนทั่วไป
ปัญหาคือ หากมีคำตัดสินออกมาทางใดทางหนึ่งจะเป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่ายหรือไม่ จะเป็นข้อยุติเพื่อให้ประเทศได้เดินต่อไปหรือไม่ ถ้าเรื่องไปถึงศาลแล้วคำวินิจฉัยของศาลที่ยึดตัวบทกฎหมายเป็นหลักไม่เป็นบรรทัดฐานที่ยอมรับ แล้วอะไรที่จะเป็นหลักบรรทัดฐานให้ยอมรับกันได้
สถานการณ์ของคุณพิธาตอนนี้ทำให้นึกถึงช่วงที่คุณประยุทธ์กำลังจะถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยประเด็นเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปีแล้วหรือยัง ตอนนั้นคุณประยุทธ์แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะยอมรับคำวินิจฉัยของศาลตั้งแต่แรก ไม่เคยกล่าวโทษใคร ไม่ว่าคนร้องหรือคนที่ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุนหรือไม่
ทำให้ทุกฝ่ายเฝ้ารอดูวันวินิจฉัยอย่างเงียบสงบ ไม่มีการนำมวลชนมาแสดงกิจกรรมกดดันการทำงานของศาลแต่อย่างใด กรณีนั้นคุณประยุทธ์แสดงบทบาทของการเป็นผู้นำประเทศที่ยึดถือยอมรับหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง คุณพิธาควรนำท่าทีลักษณะนี้มาแสดงออกในทางสาธารณะเช่นกัน
ไหนๆก็บอกว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคนทั้งที่เลือกและไม่เลือกคุณพิธาให้เป็นนายก หากทำได้เชื่อว่าจะทำให้ทุกฝ่ายลดความขัดแย้ง ลดสภาวะของการปลุกระดมสร้างสถานการณ์เผชิญหน้าระหว่างประชาชนคนไทยด้วยกันเองได้อย่างดี
ไม่ใช่มัวแต่เสียเวลาไปสร้างวาทะกรรมให้มวลชนและสื่อต่างประเทศ เข้าใจเป็นว่ากำลังโดนกลั่นแกล้งทางการเมือง หรือให้ผู้มีอำนาจนอกพรรคอย่างคุณปิยบุตรออกมาขู่ว่าจะเกิดความวุ่นวายทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ หากคุณพิธาโดนตัดสิทธิ์ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี แบบนี้มีแต่จะขยายความขัดแย้งในหมู่คนไทยด้วยกัน
อย่างที่บอกไว้ตอนต้น การเมืองคือเครื่องชี้อนาคตของบ้านเมือง มองจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในวันนี้ มองจากสิ่งที่พรรคการเมืองและนักการเมืองกำลังทำ กำลังพูด อดรู้สึกไม่ได้ว่า ชีวิตพวกเราคนไทยน่าจะได้อยู่กับความทุกข์และความยุ่งยากมากกว่าได้อยู่กับความดีและความสุข แต่เราไม่มีทางเลือกเพราะผลการเลือกตั้งเป็นแบบนี้ ก็ต้องปล่อยให้บ้านเมืองเดินไปตามนี้ อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของพรรคการเมืองและนักการเมืองทั้งหลาย ช่วยกันอธิษฐานให้พวกเขาเลือกพาบ้านเมืองเดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง