Here We Go 43

ในที่สุดข้อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบการเมืองท้องถิ่นก็ตกไป คุณปิยบุตร คุณธนาธร และคณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล ประกาศเดินหน้าเรื่องนี้ต่อ การแพ้มติในรัฐสภาไม่ทำให้แนวคิดและการเดินหน้าสิ้นสุดลง นโยบายเปลี่ยนแปลงประเทศ สังคมก้าวหน้า เป็นธงนำทางการเมืองการปกครองของคนกลุ่มนี้อย่างไม่มีเปลี่ยนแปลง

 

อะไรทำให้ข้อเสนอนี้ตกไป???? แน่นอนว่าคะแนนเสียงที่โหวตในสภาเป็นตัวตัดสินชี้ขาด ส.ส. โหวตรับหลักการ 248 ไม่รับหลักการ 56 งดออกเสียง 119 จากผู้ลงมติ 423 คน ทางฝ่าย ส.ว. โหวตรับหลักการ 6 ไม่รับหลักการ 189 งดออกเสียง 10 จากผู้ลงมติ 205 คน รวมทั้งสองสภา

 

 คะแนนเสียงลงมติออกมาว่า รับหลักการ 254 ไม่รับหลักการ 245 งดออกเสียง 129 การจะผ่านขั้นรับหลักการในวาระหนึ่งไปได้ รัฐธรรมนูญบอกไว้ว่าต้องได้คะแนนเสียงเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา ตัวเลข ณ วันนั้นคือ 361 เสียง ก็ปรากฎว่าได้ไม่ถึง คือได้มา 254 เสียง 

 

และยังต้องได้เสียงสนับสนุนจาก ส.ว. เกินหนึ่งในสามคือ 83 เสียง ปรากฎว่าได้มาเพียง 6 เสียง นี่เป็นเหตุสำคัญตามกฎหมายที่ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะก้าวหน้าตกไป

 

———
วิเคราะห์ร่างกระจายอำนาจของคณะก้าวหน้าถูกตีตก
———

 

เพราะอะไรคะแนนจึงออกมาเป็นเช่นนี้ คิดว่าต้องวิเคราะห์จากพรรคใดลงคะแนนอย่างไร และการอภิปรายของ ส.ส. และ ส.ว. ลองไปดูการลงคะแนนของ ส.ส.จะพบว่าพรรคร่วมฝ่ายค้าน โหวตเห็นด้วยทั้งหมด มีประชาธิปัตย์กระโดดเกาะกระแสโหวตเห็นด้วยทั้งพรรค 

 

ข้อมูลวงในบอกว่า ประชาธิปัตย์ต้องยึดหลักการประชาชนไว้ก่อน อย่างไรเสีย ร่างก็ต้องตกแน่นอนเพราะ ส.ว.ไม่เอาด้วยแน่ ก็ให้ ส.ว.รับคำด่าไปก็แล้วกัน ส่วนภูมิใจไทยงดออกเสียงทั้งพรรค วงในบอกว่าไม่เอาด้วย แต่เป็น ส.ส.ต้องเกรงใจประชาชนที่เข้าชื่อเสนอมา อย่างไรเสียก็ไม่ผ่าน จึงงดออกเสียงก็แล้วกัน 

 

มีพรรคเล็กๆ งดออกเสียงตามไปด้วย มีพลังประชารัฐที่โหวตไม่เห็นด้วย อันนี้คงเป็นโยบายของหัวหน้าพรรคที่ยึดแนวทางนี้เคร่งครัด 

 

ทีนี้ไปดูการอภิปรายก็จะพบว่า ฝ่ายไม่เห็นด้วยมองเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สุดโต่ง การบริหารท้องถิ่นบางส่วนในปัจจุบันดีอยู่แล้ว ปรับปรุงให้ดีขึ้นได้โดยไม่ต้องไปไกลถึงขั้นที่คณะก้าวหน้าเสนอ ไม่ต้องไปถึงขั้นยุบผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน 

 

แต่ที่ซ่อนอยู่ในคำอภิปรายคือ ความไม่ไว้วางใจต่อผู้เสนอคือ คุณปิยบุตรกับคุณธนาธร 

 

มีความรู้สึกว่าการแก้ไขคราวนี้คือบททดสอบ เป็นบันไดก้าวแรก มีบันไดอีกหลายขั้นที่จะก้าวขึ้นไป และขั้นสุดท้ายคือการเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ ซึ่งต่อให้อธิบายอย่างไร แก้ตัวอย่างไร ชักแม่น้ำกี่สายมาอ้างก็ไม่สามารถลบล้างความไม่ไว้วางใจต่อบุคคลทั้งสองและคณะได้ 

 

ระหว่างการอภิปรายหรือรอการลงมติ ไม่มีมวลชนออกมาลงถนนกดดันสภา ไม่มีความเห็นของสังคมที่ออกมา สนับสนุนคุณปิยบุตรและคุณธนาธร สังคมใหญ่ไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เมื่อมติออกมาว่าไม่ผ่าน ก็ไม่มีแรงกดดันต่อ ส.ว. หรือ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล เว้นแต่กระแสในโลกออนไลน์บางส่วนเท่านั้น

 

———
ประชาชนไม่เอากับความสุดโต่ง
———

 

เรื่องนี้พิสูจน์ให้เห็นอะไรบางอย่างในสังคมไทย ความก้าวร้าว ความสุดโต่ง ความไม่ให้เกียรติผู้อื่น การใส่ความ ดูหมิ่นเหยียดหยาม ยุยงให้เกิดความแตกแยก การใช้ความรุนแรง ไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง ไม่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างที่คนกลุ่มนี้หวัง 

 

ไม่สามารถสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้สังคมใหญ่เห็นว่าคนเหล่านี้จะนำพาประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า อย่างที่พูดไว้ จึงมีเสียงเตือน อย่าฝันถึงการปฏิวัติประชาชนในประเทศไทยจะเกิดขึ้นได้ 

 

เพราะการหล่อหลอมบ่มเพาะความคิดก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงประเทศ การใส่ชุดความคิดแบบนี้ในโครงการอบรมทางการเมืองที่คณะก้าวหน้ากำลังทำในกลุ่มนักศึกษาเยาวชน อาจจะได้ผลในคนกลุ่มหนึ่งและในเวลาหนึ่ง 

 

แต่ในเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อเข็มนาฬิกาเดินไปข้างหน้า คนกลุ่มนี้เติบโตขึ้น พวกเขาก็จะเปลี่ยนแปลง โลกออนไลน์จะสอนพวกเขาให้นึกถึงตัวเอง นึกถึงประโยชน์ที่จะได้รับ นึกถึงชีวิตที่ดีขึ้น ชีวิตที่ดีกว่า ไม่ใช่อนาคตจบลงในเรือนจำเพราะถูกพาไปทำผิดกฎหมาย 

 

ตัวอย่างที่พวกเขาเห็นในวันนี้พิสูจน์แล้วว่า มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ถูกปลูกฝังความคิด มีอารมณ์ฮึกเหิม ออกไปสู้แทนคนที่ใส่ความคิดให้ สุดท้ายชีวิตไม่ได้ดีขึ้นเลย 

 

ที่สำคัญเขาเริ่มมองเห็นความจริงว่าสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลง แต่ควรเปลี่ยนแปลงไปตามบริบทที่ควรเป็นของสังคมนั้น ยืดหยุ่น ค่อยเป็นค่อยไป ได้บ้างเสียบ้าง เดินสายกลาง ณ เวลาหนึ่งการเปลี่ยนแปลงก็อาจเกิดขึ้นเองได้โดยเราไม่ต้องออกแรง เสียหยาดเหงื่อหรือเลือดเนื้อ

 

———
เศรษฐกิจไทยกำลังฟื้นตัวต่อเนื่อง
———

 

ขณะที่นอกสภา ภาพคุณประยุทธ์ไปต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติคนที่ 10 ล้านที่เข้ามาไทยในปี 2565 สะท้อนผลงานรัฐบาลคุณประยุทธ์ได้หลายอย่างโดยไม่ต้องออกแคมเปญชวนเชื่อเหมือนบางพรรค 

 

ประกอบกับมีข่าวเล็กๆ ที่น่าสนใจคือ เรื่องที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ Fitch Ratings ให้ไทยอยู่ในระดับ BBB+ และคาดการณ์ว่าในปี 2566 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึง 3.8% จากเดิมที่ปี 2565 อยู่ที่ 3.3%  

 

สาเหตุจากการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติประมาณ 10.3 ล้านคน ปี 2565 และคาดว่าปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาไทยที่ 24 ล้านคน ยังไม่นับรวมชาวจีนอีกมากกว่า 10 ล้านคนที่เตรียมจะมาไทย หากได้รับอนุญาตให้เดินทางออกท่องเที่ยวต่างประเทศ 

 

Fitch Ratings ระบุว่าไทยมีจุดแข็งด้านภาคการเงิน ด้านเศรษฐกิจมหภาคและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การฟื้นตัวเร็วกว่าหลายประเทศ 

 

แล้วยังมี The Business Times ที่ระบุว่า ไทยจะเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่จะสามารถพยุงเศรษฐกิจที่กำลังจะชะลอตัวไว้ได้จากการท่องเที่ยว GDP ปี 2566 จะเติบโตร้อยละ 4 จากที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ที่ร้อยละ 3.5 ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนด้วยกันจะมีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลง

 

———
เบื้องหลังการฟื้นตัวเศรษฐกิจ
———

 

ข้อมูลเหล่านี้บอกอะไรเราบ้าง อย่างน้อยก็สะท้อนว่าไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่คนทั่วโลกอยากมา จะเป็นเครื่องยนต์ที่กระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างดีต่อเนื่องตลอดปีหน้า 

 

ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากมาไทย ก็คงตอบกว้างๆ ได้ว่า ไทยมีความปลอดภัย เดินทางมาสะดวก การขนส่งสาธารณะภายในประเทศดี สถานที่ท่องเที่ยวสวยงาม อาหารอร่อย และค่าครองชีพไม่แพง คุ้มค่ากับการมาพักอาศัยหรือทำงาน 

 

สิ่งดีๆ ที่กล่าวมาต้องบอกว่าเป็นเพราะการวางแผนบริหารจัดการของรัฐบาลคุณประยุทธ์ ที่พยายามสร้างสภาวะแวดล้อมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การต่างประเทศ การสาธารณสุขให้อยู่ในภาวะที่เหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถฟื้นตัวได้รวดเร็วเป็นไปตามตัวเลขที่สถาบันต่างประเทศเฝ้าติดตามอยู่ 

 

ผลสำเร็จในการทำงานอย่างหนักนี้ คุณประยุทธ์ไม่เคยออกป่าวประกาศเอง มีแต่ผลงานที่คนไทยทุกคนได้ประโยชน์ และต่างชาติชื่นชม

 

นอกจากนี้ข้อมูลยังบอกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศทำได้ดี ก็ให้นึกถึงโครงการพยุงเศรษฐกิจช่วงวิกฤต covid อาทิ คนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ล้วนแต่ถูกฝ่ายค้านโจมตีมาตั้งแต่เริ่มต้น มาถึงตอนนี้ไม่เห็นมีพรรคไหนออกมาประกาศหาเสียงว่าจะยกเลิกโครงการเหล่านี้เลย หรือออกมาแฉเรื่องทุจริตที่เกิดจากโครงการ 

 

ทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใสและคนไทยทุกกลุ่มได้ประโยชน์เต็มที่ ทำให้เห็นว่าในปี 2566 ต่อเนื่องไปเศรษฐกิจจะค่อยๆ กลับมาในทิศทางที่เป็นบวก ถ้าหากยังสามารถรักษาสภาพการณ์แบบนี้ไว้ได้

 

———
จับตานโยบายหาเสียงพรรคการเมือง
———

 

มีปัจจัยที่น่ากังวลก็คือเรื่องการเมืองที่ถนนทุกสาย กิจกรรมทุกอย่างของพรรคการเมืองกำลังมุ่งไปสู่การเลือกตั้ง ที่ผ่านมาพรรคการเมืองแทบทุกพรรคต่างแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำได้ทุกวิธี เสนอได้ทุกสิ่ง ขอให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียงก่อน หลังจากนั้นทำได้หรือไม่ ค่อยไปหาเรื่องโบ้ยฝ่ายตรงข้ามอีกที 

 

นโยบายของบางพรรคที่ออกมาประกาศต่อประชาชนเหมือนขายฝันเป็นนโยบายทิพย์ คนคิดไม่ต้องรับผิดชอบ คนที่รับเคราะห์กรรมทางตรงคือคนที่ลงมือทำ คนที่รับเคราะห์กรรมทางอ้อมคือคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ 

 

ยกตัวอย่างที่เห็นชัดๆ สักอัน เช่น โครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ คนคิดไม่ต้องรับผิดชอบ ซ้ำร้ายคนใกล้ชิด ญาติพี่น้องได้รับประโยชน์จากการทุจริตมหาศาล คนที่ทำทั้งนักการเมือง ข้าราชการรับกรรมติดคุกติดตารางหมดอนาคตช้ำใจตายก็มี 

 

คนไทยทุกคนรับกรรมทางอ้อม ต้องมาเสียภาษีร่วมชดใช้หนี้ที่เกิดจากโครงการนี้มากกว่า 5 แสนล้านบาท แทนที่จะได้นำเงินจำนวนนี้ไปพัฒนาประเทศด้านอื่น ส่วนตัวการหลบหนีคดีไปเสวยสุขต่างประเทศ หนี้เก่าคนไทยยังใช้ไม่หมด ตัวการใหญ่ยังไม่กลับมารับโทษ ดันมาออกนโยบายขายฝันใหม่อีกแล้ว

 

บางพรรคพอผลโพลบอกว่าน่าจะได้จำนวน ส.ส.เป็นที่หนึ่งจากกติกาใหม่ ก็คิดการณ์ใหญ่อยากได้ ส.ส.แบบแลนด์สไลด์พาผู้ใหญ่กลับบ้านชัวร์ๆ รีบออกนโยบายขายฝันทันที 

 

หัวหน้าพรรคยังไม่ทันได้ออกมาพูดหรือยังไม่รู้ด้วยซ้ำ ปล่อยให้หัวหน้าครอบครัวออกมาพูดก่อนท่ามกลางกระแสข่าวที่กำลังขุดคุ้ยเรื่องทุนจีนสีเทาที่พัวพันกับธุรกิจของครอบครัว 

 

บ้างก็ว่าคงต้องการกลบข่าวปกป้องผลประโยชน์ของครอบครัว แทนที่จะเคลียร์เรื่องที่ถูกนำมาโยงใยกับธุรกิจสีเทา ดันเสนอนโยบายขายฝันนี้ออกมาแทน เพื่อให้คนในพรรคออกมาช่วยกันแก้ต่าง ซึ่งก็ได้ผล มีหลายส่วนหลายอาชีพที่เกี่ยวข้องต่างออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันเต็มที่ ไม่ได้หลงเชื่อเออออเหมือนอย่างเคย หลายคนคงไม่อยากรับเคราะห์กรรมเหมือนที่ผ่านมาอีก

 

เป็นเรื่องที่ดีที่หลายฝ่ายจะได้หยิบยกนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ออกมาวิจารณ์ในทุกแง่มุมก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง จะได้ทำให้ประชาชนได้รู้ว่านโยบายไหนเป็นจริงได้ มีที่มาที่ไปอย่างไร ใครได้รับประโยชน์ ใครได้รับผลกระทบ 

 

หรือนโยบายของพรรคไหนแค่ขายฝันเป็นนโยบายทิพย์ แล้วใครต้องรับผิดชอบในสิ่งพูดแล้วทำไม่ได้ คนไทยจะได้ช่วยกันตรวจสอบ ไม่ให้นักการเมืองประเภทนี้มาหลอกใช้อีก การทำงานการเมืองสมัยนี้ควรต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบและความโปร่งใส

อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า