Here We Go 32
งานพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เสร็จสิ้นอย่างสมพระเกียรติ เป็นที่ชื่นชมและระลึกถึงของคนทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่คนไทยที่เฝ้าชมทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆ
ความจริงประการหนึ่ง ที่เราได้ตระหนักจากพระราชพิธีครั้งนี้คือ ความงดงามในโบราณราชประเพณี พระเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญคือความเชื่อมโยงระหว่างสถาบัน พระมหากษัตริย์กับประชาชน และความภาคภูมิใจของประชาชนที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
จึงไม่แปลกใจเลยที่การสืบทอดราชบัลลังก์ไปสู่พระเจ้าชาร์ลที่ 3 จึงเป็นไปอย่างสมพระเกียรติ งดงาม เต็มไปด้วยความรักและความจงรักภักดีของประชาชน
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นความงดงามของระบอบการปกครอง เป็นความภาคภูมิใจของคนในชาตินั้นที่รักษา สืบทอดการปกครอง ประเพณี วิถีชีวิต ความภูมิใจที่ไม่มีชาติใดเสมอเหมือน ชาติอื่นอยากจะเป็นบ้างก็เป็นไม่ได้
ส่วนคนที่คิดแต่จ้องจับผิด จินตนาการ วาดภาพ สร้างเรื่องให้คนเข้ามาแสดงความเห็นให้ร้ายด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราเอง ก็สมควรได้รับการประณาม เหตุเพราะไม่ได้รู้จริงถึงความสัมพันธ์ของพระราชวงศ์ทั้งสองประเทศ
———-
ในหลวงรัชกาลที่ 6 กับสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ 5
———-
มีเรื่องราวในอดีตที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ 5 พระอัยกาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 กับพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 6 พระอัยกาของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 10
เวลานั้นเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จำนวนหลายพันปอนด์ เพื่อช่วยเหลือหญิงหม้ายและเด็กกำพร้าผู้เป็นภรรยาและบุตรของทหารในกรมทหารราบเบาเดอรัมแห่งอังกฤษ
น้ำพระราชหฤทัยนี้ทำให้สมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ 5 ทรงซาบซึ้งเป็นอย่างมาก มีพระราชโทรเลขลงวันที่ 22 กันยายน 2458 ทูลเชิญในหลวงรัชกาลที่ 6 รับพระยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกอังกฤษ
และหากมีพระราชประสงค์จะทรงเครื่องยศทหารอังกฤษ ก็ขอให้ทรงเครื่องของกรมทหารราบเบาเดอรัมซึ่งได้เคยทรงบังคับบัญชามาแล้วด้วย
ในหลวงรัชกาลที่ 6 ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชโทรเลขทรงตอบในวันรุ่งขึ้นทันที ทูลเชิญสมเด็จพระเจ้ายอร์ชที่ 5 ให้ทรงรับพระยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบกสยามเช่นกัน เพื่อเป็นการตอบแทนน้ำพระราชหฤทัยและมิตรไมตรีที่อังกฤษมีต่อสยาม
นับเป็นครั้งแรกที่มีการแลกเปลี่ยนพระยศทางทหาร ระหว่างประมุขของประเทศมหาอำนาจในยุโรปกับประมุขของประเทศในเอเชีย
———-
กลยุทธ์รักษาดุลอำนาจในเวทีโลกของราชวงศ์
———-
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ถือว่า เกียรติยศที่ทรงได้รับเป็นพระเกียรติยศส่วนพระองค์ หากแต่ทรงเห็นว่าเป็น “เกียรติยศของชาติ” และเป็นประจักษ์พยานในความเจริญแห่งกองทัพบกสยาม
โดยพระองค์มีพระราชดำรัสเรื่องนี้ไว้ในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษา เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2458 โลกในวันนั้นต่างมองว่าการถวายพระยศทหารชั้นสูงสุดแลกเปลี่ยนกันระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ได้ทำให้กองทัพสยามมีหน้ามีตายิ่งกว่ากองทัพใดในบูรพทิศ
เพราะอังกฤษในยุคนั้นคือ มหาอำนาจในยุโรปที่แสดงการยอมรับทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยว่า ประเทศสยามมีศักดิ์เสมอด้วยประเทศอารยะทั้งปวง
นับเป็นสิ่งยืนยันถึงความใกล้ชิดและไมตรีจิตที่ทั้งสองประเทศมีต่อกันและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ ที่มีต่อประเทศชาติและราษฎรของพระองค์เสมอมา
———-
ความยิ่งใหญ่ของพระราชพิธีพระบรมศพ
———-
งานพระราชพิธีพระบรมศพสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ที่ถ่ายทอดสัญญาณจากกรุงลอนดอนไปทั่วโลกครั้งนี้ คะเนว่ามีผู้ติดตามรับชมในทุกช่องทางทั้งจากสื่อหลักและสื่อออนไลน์ประมาณเกือบ 8 พันล้านคน มากกว่าการถ่ายทอดพระราชพิธีพระศพของเจ้าหญิงไดอานาเมื่อปี 2540 ที่มีผู้ชมจากทั่วโลกประมาณ 2 พันล้านคน
เป็นการแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของระบอบกษัตริย์อังกฤษที่ถูกจับตาและติดตามจากผู้คนทั่วโลก ส่วนหนึ่งคงเกิดจากการที่ควีนเอลิซาเบธที่ 2 ทรงครองราชย์มายาวนาน และมีส่วนร่วมในเหตุการณ์สำคัญๆ ที่ถือเป็นประวัติศาสตร์ของโลกมาหลายเรื่อง
ประชาชนช่วงวัย 20 – 100 ปี ทั่วโลกต่างต้องรู้จักคุ้นเคยกับพระองค์ จึงเฝ้าติดตามพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านมาตลอด ไม่เพียงแต่ชาวอังกฤษเท่านั้นที่รู้สึกโศกเศร้ากับการจากไปของพระองค์ แต่ประชาชนทั่วโลกคงรู้สึกใจหายไม่ต่างกัน
———-
ราชวงศ์ไทย-อังกฤษกับการใช้ Soft Power
———-
ช่วงเวลาที่พระองค์ทรงครองราชย์ ทรงดำเนินกุศโลบายที่นำพาระบอบกษัตริย์อังกฤษให้เป็นศูนย์กลาง ยึดเหนี่ยวจิตใจของคนในเครือจักรภพอย่างแท้จริง
บางช่วงที่ราชวงศ์อังกฤษต้องประสบกับศรัทธาที่สั่นคลอน พระองค์ได้ปรับบทบาท กฎเกณฑ์บางอย่างของราชวงศ์อังกฤษให้เข้ากับยุคสมัย จนสามารถกลับมาทำให้เป็นที่ยอมรับได้อีกครั้ง
การประกาศตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์ และตำแหน่งรัชทายาทเมื่อครั้งงานฉลองครองราชย์ครบ 70 ปี ในเดือนมิถุนายน 2565 นอกจากเป็นการขจัดข้อสงสัยทั้งปวงที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งของอังกฤษแล้ว ยังทำให้เกิดความเป็นปึกแผ่นในกลุ่มประเทศเครือจักรภพอีกด้วย
ถือได้ว่าทรงเป็นผู้นำในการใช้ soft power ของอังกฤษอย่างเต็มภาคภูมิ บทบาทลักษณะนี้ไม่แตกต่างจากพระมหากษัตริย์ของไทยตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน ที่ทรงสร้าง soft power ด้วยการเสด็จเยือนประเทศมหาอำนาจทั้งยุโรป สหรัฐฯ รัสเซีย และจีน
เป็นการสร้างความประทับใจและสายสัมพันธ์ เพื่อการรักษาความเป็นอธิปไตยของไทยได้อย่างสมดุลท่ามกลางกระแสยุคล่าอาณานิคมในอดีต
แม้ขณะนั้นไทยจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ แต่ประเทศมหาอำนาจต่างเกรงใจ โดยเฉพาะรัชกาลที่ 9 ที่ทรงได้รับการยกย่องจากพระมหากษัตริย์หลายประเทศ ผู้นำประเทศ และองค์การระหว่างประเทศ ให้ทรงเป็นจอมกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระมหากษัตริย์ไทยถือได้ว่าเป็น soft power สำคัญของประเทศเช่นกัน
———-
ศูนย์รวมจิตใจของคนอังกฤษ
———-
นอกจากนี้ราชวงศ์อังกฤษถือเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวอังกฤษอย่างแท้จริง ดูได้จากห้วงเวลานับจากที่พระองค์เสด็จสวรรคตจนถึงพระราชพิธีพระบรมศพ ทุกคนต่างร่วมถวายความอาลัย รวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อส่งเสด็จ ไม่เว้นแม้แต่กลุ่มต่อต้านราชวงศ์อังกฤษ
ทุกคนละทิ้งความขัดแย้ง การแสดงกิจกรรมความวุ่นวายจากปัญหาเรื่องอื่นๆ ทั้งหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนอังกฤษเตรียมประท้วงรัฐบาลให้แก้ปัญหาพลังงานราคาแพง และปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
คิดว่าชาวอังกฤษตระหนักถึงความสำคัญของราชวงศ์ได้เป็นอย่างดี สะท้อนจากผลสำรวจความเห็นของประชาชนที่มีต่อการขึ้นครองราชย์ของสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 ที่ได้รับความนิยมถึง 42% และประเทศเครือจักรภพประกาศสนับสนุนพระองค์ในทันที
นอกจากนี้หากใครที่ติดตามการถ่ายทอดอย่างใกล้ชิดจะสังเกตเห็นเจ้าชายจอร์จ พระชันษา 9 ปี เจ้าหญิงชาร์ลอตต์ พระชันษา 7 ปี รัชทายาทลำดับที่ 2 และ 3 เข้าร่วมพิธีด้วย
ซึ่งที่ผ่านมางานพระราชพิธีพระบรมจะไม่นำเด็กๆ เข้าร่วม การแสดงพระองค์ครั้งนี้สื่อนัยว่าราชวงศ์อังกฤษจะดำรงอย่างต่อเนื่องยาวนานต่อไป หลังจากนี้คงจะได้เห็นเจ้าชาย เจ้าหญิงพระองค์น้อยปรากฏตัวต่อสาธารณชนมากขึ้น
———-
ราชวงศ์ในฐานะศูนย์รวมยึดใจ
———-
เมื่อเปรียบเทียบกับพระมหากษัตริย์ไทยแล้ว บทบาทของการเป็นศูนย์รวมจิตใจและที่ยึดเหนี่ยวของประชาชนในยามที่เกิดภัยพิบัติของกษัตริย์ไทยเป็นที่ประจักษ์ชัดมากกว่าประเทศไหนๆ
ไม่ว่าในยามที่คนในชาติมีปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากความเห็นต่าง ทรงช่วยชี้แนะแนวทางปัดเป่าข้อขัดแย้ง ปัญหาความเดือดร้อนจากภัยพิบัติต่างๆ ทรงพระราชทานความช่วยเหลือ ทรงวางแผนทำโครงการทั้งระยะสั้นและระยะยาวเพื่อมุ่งแก้ปัญหาความยากจนให้คนในชาติ
พระมหากษัตริย์ไทยและพระราชวงศ์ทุกพระองค์ต่างทรงงานเพื่อประชาชน ครอบคลุมความเป็นอยู่ของคนไทยตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต อาจพูดได้ว่าไม่มีพระมหากษัตริย์ของชาติไหนที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากเท่ากับพระมหากษัตริย์ไทยอีกแล้ว
———-
มรดกทางวัฒนธรรมประเพณีที่ควรเก็บรักษาไว้
———-
เท่าที่ติดตามชมพระราชพิธีพระบรมศพที่จัดขึ้น มีความรู้สึกว่าพระราชพิธีเป็นไปอย่างเรียบง่าย เคร่งขรึม เป็นไปตามโบราณราชประเพณีที่ดำเนินสืบทอดกันมาอย่างยาวนาน อาทิ การเคลื่อนขบวนพระบรมศพ การจัดลำดับผู้เดินตามขบวน การแต่งกาย การยกพระมหามงกุฎจากหีบพระบรมศพ การหักคทา
เหล่านี้มีความหมายแทบทั้งสิ้น เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านาน บทบาทของฝ่ายศาสนจักรที่เข้ามาประกอบพิธีกรรมแสดงถึงการเกื้อกูลกันระหว่างศาสนจักรกับราชอาณาจักร
วัฒนธรรมประเพณีอย่างนี้สร้างความยิ่งใหญ่ สร้างคุณค่า สร้างความเป็นเอกลักษณ์ สร้างความภาคภูมิใจให้คนในชาติ ทำให้ทั่วโลกมองว่าอังกฤษเป็นอารยะประเทศ
ดังนั้นประเทศไหนที่ไม่มีวัฒนธรรมประเพณีเป็นของตนเอง คนในชาติจะขาดความภาคภูมิใจ ประเทศขาดเสน่ห์ เปรียบกับต้นไม้ก็เหมือนขาดรากแก้วยึดโยงลำต้นให้แข็งแกร่ง ถูกหักโค่นได้ง่าย
สำหรับประเทศไทยโชคดีอย่างมากที่สถาบันพระมหากษัตริย์ ได้เป็นผู้นำสืบทอดรักษาวัฒนธรรม จารีตประเพณีมาอย่างยาวนาน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่ทั่วโลกรู้จักยกย่อง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การแสดง ศิลปะ ผลิตภัณฑ์หลายอย่างล้วนเกิดขึ้นมาจากในรั้ววังเป็นส่วนใหญ่
ดูงานพระราชพิธีแล้วทำให้ย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่ไทยสูญเสียรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ซึ่งทรงเป็นที่รักและยกย่องจากคนทั่วโลก จึงอยากเชิญชวนทุกท่านร่วมรำลึกถึงพระคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงทำทุกอย่างเพื่อคนไทยและประเทศไทยจนเป็นที่ยอมรับจากทั่วโลกเช่นกัน
#TheStrutureColumnist
#สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่2 #ไทย #อังกฤษ #ราชวงศ์ #softpower
เปิดให้ฟ้องแล้ววันนี้ ศาลอิเล็กทรอนิกส์ คดีธุรกรรมออนไลน์ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
“มะเร็ง” คือโรคที่พบมากในสังคมยุคปัจจุบัน โดยในประเทศไทยนั้นมีผู้ป่วยโรคมะเร็งมากขึ้น ๆ ทุกปี
โซลาร์เซลล์” พลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ฟรี ง่าย และไม่มีวันหมด ผลิตใช้เองแถมส่งต่อได้
ศิราวุธ ภุมมะกสิกร
อดีตวิศวกรโครงการ ระดับผู้จัดการ จบปริญญาตรีวิศวกรรมเครื่องกล จาก พระจอมเกล้าธนบุรี และ โท ด้าน Advanced Manufacturing Engineering จาก University of South Australia มีความสนใจในเรื่องประวัติศาสตร์ การเมือง และสวัสดิการสังคม