
Here We Go (92) วิกฤตหนัก ตกลงเศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในภาวะวิกฤต หรือเป็น ‘เพื่อไทย’ ที่กำลังวิกฤต
ช่วงเวลานี้นักการเมืองกับนักวิชาการของประเทศกำลังถกเถียงกันในนิยามของคำว่า “วิกฤต” ต่างฝ่ายต่างเห็นกันไปคนละแบบ คำนี้มีความสำคัญต่ออนาคตทางการเมืองของรัฐบาลโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยอย่างยิ่ง เพราะมันผูกพันกับ พรบ.เงินกู้ 5 แสนล้านบาทที่รัฐบาลต้องการนำมาใช้ในโครงการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท
คำว่าวิกฤตของพรรคเพื่อไทยจะบอกในทำนองเดียวกันว่า GDP ของประเทศขยายตัวแค่ 1.5% มานาน 9 ปี จะให้ชัดๆคือประเทศวิกฤตนับตั้งแต่คุณประยุทธ์เข้ามาเป็นรัฐบาล ตัวเลข 1.5% ก็นำมาจากที่สภาพัฒน์แถลงต่อสาธารณชนว่าไตรมาส 3 โตแค่นี้ ไม่ใช่ทั้งปี
แต่รัฐบาลไม่พยายามอธิบายรายละเอียดว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้ตัวเลขเหลือแค่นี้ หลังจากนี้หน่วยงานสภาพัฒน์คงต้องเป็นต้นตอของที่มาของคำว่าวิกฤต เพราะวิกฤตในความหมายของรัฐบาลคือ GDP 1.5%
แต่นักวิชาการทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่เห็นเป็นแบบนั้น ในทางเศรษฐศาสตร์ไม่ได้มองว่าไทยมีสภาวะวิกฤต แต่ใช้คำตรงกันว่ายังคงอ่อนแอ และที่น่าแปลกใจอีกคือ สถาบันด้านเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างชาติต่างมีความเห็นในทางเดียวกันว่า “วิกฤต” จะเกิดกับไทยแน่หากรัฐบาลกู้เงิน 5 แสนล้านบาทมาทำโครงการแจกเงินดิจิทัลคนละ 10,000 บาท
เหตุผลก็เพราะจะทำให้ไทยขาดดุลทางการคลังมากขึ้น จนถึงปีนี้ไทยยังมีภาระที่ต้องใช้หนี้สาธารณะอยู่ประมาณ 10 ล้านล้าน บาทหรือประมาณ 60% ของ GDP ถ้าต้องกู้มาเพิ่มอีก 5 แสนล้านบาท สัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะพุ่งขึ้นไปอีกเท่าไร และหากเงินดิจิทัลไม่หมุน 3 รอบตามที่หวัง (ซึ่งทุกฝ่ายประเมินแล้วว่าไม่มีโอกาส)
นโยบายการคลังของไทยจะต้องอยู่ในสภาพที่หาเงินกู้มาใช้หนี้ต่อเนื่องไปอีก ความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนต่างประเทศจะหายไป เครดิตการเงินการคลังของประเทศจะถูกลดระดับโดยปริยาย คนรุ่นใหม่จะเกิดมาพร้อมกับหนี้ที่ตัวเองต้องชดใช้ทั้งที่คนก่อหนี้ไม่ใช่พวกเขา ถึงตอนนั้นทุกคนจะเข้าใจคำว่า “วิกฤต” ตรงกัน
ปัญหาตอนนี้อยู่ที่ฝ่ายกฎหมายรัฐบาลจะตีความคำว่า“วิกฤต” อย่างไร ถ้าไม่ตีความในทางที่เป็นคุณแก่รัฐบาลแล้ว “วิกฤต” อาจเกิดกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่เคยโอดครวญมาก่อนแล้วว่าตกเป็นผู้(แพะ)รับบาปหาว่าถ่วงนโยบายนี้
และอาจจะลามไปถึงธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับนโยบายนี้ชัดเจนตั้งแต่ต้น ด้วยเหตุผลที่ว่าประเทศยังไม่ “วิกฤต” ถึงตอนนั้นรัฐบาลจะทำอย่างไร คงต้องเริ่มมองหาแพะไว้เนิ่นๆ
—
มีข่าวที่คนไทยเราไม่ค่อยได้พูดถึงกันแม้จะเริ่มเห็นความวิกฤตด้านการท่องเที่ยวบ้างแล้ว จีนยกเลิกเที่ยวบินมาไทยในช่วงเดือนธันวาคม 2566 และมกราคม 2567 รวมสิบสายการบิน ไม่ต่ำกว่า 8,600 เที่ยวบินที่หายไปในช่วงสองเดือนก่อนสิ้นปี 2566 และเฉลิมฉลองปีใหม่ 2567 นักท่องเที่ยวจีนจะหายไปไม่น้อยกว่า 1.7 ล้านคน ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด
คำถามคือทำไม เกิดอะไรขึ้น ไปค้นคว้าดู พบความเห็นที่หลากหลายจากผู้เชี่ยวชาญด้านจีน สำคัญที่สุดคือเศรษฐกิจจีนซบเซา ชะลอตัวอันเนื่องมาจากธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์สะดุดหยุดลง การทำมาหากิน การค้าขาย ทำได้ไม่ดี อาการหนักในช่วงกลางปีนี้ต่อไปถึงปีหน้า
คนจีนจึงชะลอการเดินทาง เกิดการยกเลิกรายการทัวร์มาประเทศไทยจำนวนมาก เมื่อไม่มีผู้โดยสาร สายการบินก็คงบินขึ้นไม่ได้ เพราะไม่คุ้มทุน การยกเลิกเที่ยวบินจึงเกิดขึ้น มีผู้รู้กล่าวไว้ด้วยว่านอกจากปัจจัยในประเทศจีนเองแล้ว ชื่อเสียงของไทยก็ไม่ค่อยดีในตอนนี้ด้วย เรื่องของความปลอดภัย เรื่องแก๊งต้มตุ๋น หรือ Scammer ในประเทศไทย ทำให้คนจีนตั้งคำถาม ไม่มั่นใจความเป็นไปในประเทศไทย
บางคนบอกว่ารัฐบาลจีนไม่ได้ช่วยทำความเข้าใจกับคนจีนด้วย เพราะไม่สบายใจกับประเทศไทยที่สำนักข่าวหนึ่งส่งคนระดับผู้ช่วยบรรณาธิการไปสัมภาษณ์รัฐมนตรีต่างประเทศของไต้หวัน เนื้อหากระทบต่อนโยบายของจีนต่อไต้หวันและประเด็นอธิปไตยของจีนอย่างรุนแรง จนทำให้สถานทูตจีนในไทยต้องออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจที่สำนักข่าวนี้ไปสัมภาษณ์คนที่คิดจะแบ่งแยกไต้หวันออกจากจีน
เอาล่ะเหตุจะมาจากเรื่องใดบ้าง แต่คนที่เดือดร้อนที่สุดคือคนไทยที่ทำมาหากินกับธุรกิจท่องเที่ยว ความหวังที่จะได้เงินจากนักท่องเที่ยวจีนมลายสิ้นไปอย่างน่าใจหาย ก็ต้องเอาใจช่วย ขอเชิญชวนคนไทยเราออกเที่ยวภายในประเทศในช่วงปลายปีต่อต้นปีหน้า เพื่ออุดหนุนพี่น้องเราที่รอต้อนรับในจังหวัดต่างๆ