
ความต้องการ LNG พุ่ง Shell คาดการณ์ความต้องการ LNG ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายในปี 2585 เนื่องจากฝั่งเอเชียจะนำมาทดแทนถ่านหิน
รายงานภาพรวมอุตสาหกรรม LNG ในปี 2024 ของเชลล์ (Shell) ยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันและก๊าซสัญชาติดัตช์และอังกฤษระบุว่า อุปสงค์ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นกว่า 50% ภายในปี 2585 เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมของจีน และบรรดาประเทศในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หันไปใช้ LNG แทนถ่านหิน
รายงานระบุว่า ในปีที่แล้วการค้า LNG ทั่วโลกแตะระดับ 404 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจาก 397 ล้านตันที่บันทึกไว้ในปี 2565 โดยอุปทานที่ตึงตัวนั้นจำกัดการขยายตัวของตลาดและยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ทั้งราคาและความผันผวนของราคายังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
อุปสงค์ LNG พุ่งถึงจุดสูงสุดในบางภูมิภาค อย่างไรก็ตามอุปสงค์ทั่วโลกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าอุปสงค์ LNG จะเพิ่มขึ้นเป็น 685 ล้านตันต่อปีภายในปี 2583
Steve Hill รองประธานบริหารของ Shell Energy กล่าวว่า จีนน่าจะเป็นผู้นำด้านการขยายตัวของอุปสงค์ LNG ในทศวรรษนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมของจีนพยายามลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนโดยการเปลี่ยนจากการใช้ถ่านหินไปเป็น LNG
การที่บางประเทศในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผลิต LNG ได้น้อยลง คาดว่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนการขยายตัวของอุปสงค์ LNG ในทศวรรษต่อจากนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจเหล่านี้ต้องการเชื้อเพลิงมากขึ้นสำหรับโรงไฟฟ้าหรืออุตสาหกรรมที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ในขณะเดียวกัน ประเทศต่างๆ ในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะต้องมีการลงทุนจำนวนมากในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการนำเข้าก๊าซ
“แม้ว่าตลาดโลกจะมีอุปทานที่ดีในปี 2566 แต่การขาดแคลนท่อส่งก๊าซรัสเซียไปยังยุโรป และการเติบโตของอุปทาน LNG ที่จำกัดในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดก๊าซทั่วโลกยังคงมีโครงสร้างที่ตึงตัว” รายงานระบุ