Newsโครงการคลองฟูนัน-เตโชส่อแววล่ม จีนอาจถอนการลงทุน กรณีศึกษา การลงทุนที่ขาดยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน สร้างภาระหนี้ให้ชาวกัมพูชาไปอีกหลายสิบปี

โครงการคลองฟูนัน-เตโชส่อแววล่ม จีนอาจถอนการลงทุน กรณีศึกษา การลงทุนที่ขาดยุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน สร้างภาระหนี้ให้ชาวกัมพูชาไปอีกหลายสิบปี

โครงการคลองฟูนัน-เตโช ที่เคยเป็นโครงการเรือธงของรัฐบาลกัมพูชา ที่อาจจะพลิกโฉมหน้าเศรษฐกิจของกัมพูชาจากประเทศยากจนให้กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลาง ในเวลานี้ส่อแววว่าจะมีปัญหา ไม่ได้ถูกสร้างจริงตามที่เคยมีนักวิเคราะห์หลายฝ่ายเคยกล่าวเตือนก่อนหน้านี้

 

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบในโครงการนี้ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ว่า โครงการนี้ China Road and Bridge Corporation (CRBC) รัฐวิสาหกิจของจีนจะเป็นผู้ดูแลการลงทุนทั้งหมด โดยได้รับสัมปทานหลายสิบปีเป็นการตอบแทน

แต่นายฮุน มาเน็ต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา กลับให้สัมภาษณ์ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ในพิธีวางศิลาฤกษ์ของโครงการดังกล่าว ว่า CRBC จะลงทุนเพียง 49% เท่านั้น ในขณะที่ส่วนที่เหลือนั้น บริษัทเอกชนของกัมพูชาจะเป็นผู้ลงทุน และในวันเดียวกันนั้นเอง สมเด็จ ฮุนเซ็น อดีตนายกฯ กัมพูชา กลับโพสต์เฟซบุ๊กเรียกร้องให้ญี่ปุ่นเข้ามาลงทุนในโครงการนี้

 

ในขณะที่สำนักข่าวซินหัว ซึ่งเป็นสำนักข่าวในกำกับของรัฐบาลจีน ได้รายงานข่าวเกี่ยวกับพิธีวางศิลาฤกษ์นี้ โดยไม่ได้ระบุถึงการมีส่วนร่วมของจีนแต่อย่างใด และเมื่อวันที่ 23 พ.ย. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ทางการจีนและกัมพูชาปฎิเสธที่จะแสดงความชัดเจนว่าจีนจะเข้าร่วมลงทุนในโครงการนี้หรือไม่ 

 

“การที่จีนไม่มีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนอาจทำให้แผนทั้งหมดตกอยู่ในความเสี่ยง เนื่องจากมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับต้นทุนของโครงการ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และความสามารถในการทำกำไรทางการเงิน” รอยเตอร์ระบุ

 

นอกจากนี้ รอยเตอร์ยังรายงานด้วยว่าในเวลานี้ทางการจีนได้ลดการลงทุนในโครงการต่างประเทศลงไปจากปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีนเอง ในขณะที่โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของจีนในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายโครงการนั้น ไม่ประสบความสำเร็จ

 

อีกทั้งยังเกิดกระแสความกังวลเกี่ยวกับปัญหาอาชญากรในประเทศเหล่านั้นที่พยายามที่จะจับตัวคนจีน และหลอกลวงคนจีน ในขณะที่ตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศเหล่านั้นลดลง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแรงผลักดันให้รัฐบาลจีนถอนการลงทุนในอาเซียนออกไปอย่างรวดเร็ว

 

อีกทั้ง โครงการทางด่วน เชื่อมกรุงพนมเปญกับเมืองชายฝั่งสีหนุวิลล์ ที่ CRBC เป็นผู้ลงทุนนั้น ปรากฎว่าไม่สามารถทำรายได้ได้มากอย่างที่คาด ผู้คนเลือกที่จะลงไปใช้ถนนปกตที่ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่าย ถึงแม้ว่าจะแออัด แต่ก็ฟรี มากกว่าการเสียเงินค่าทางด่วน

 

ในขณะที่ท่าอากาศยานนานาชาติเสียมราฐ–อังกอร์ ซึ่งจีนเป็นผู้ลงทุน และเพิ่งเปิดให้บริการช่วงเดือน ต.ค. 2566 เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเยี่ยมชม นครวัด สถานที่ท่องเที่ยวเรือธงของกัมพูชานั้น ก็เงียบเชียบจนน่าวิตก





ปัญหาการสะดุดทางการเงินในโครงการฟูนัน เตโช จากความไม่มั่นใจในการลงทุนของจีนนั้น อาจเป็นภาพสะท้อนจากความล้มเหลวของการลงทุนในโครงการต่าง ๆ ของจีนในกัมพูชาในช่วงที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าตั้งคำถามว่า ก่อนหน้าที่จะมีการลงทุนในโครงการต่าง ๆ กัน  รัฐบาลกัมพูชาได้มีการศึกษาเกี่ยวกับความคุ้มค่าในการลงทุนในโครงการต่าง ๆ เหล่านี้หรือไม่ ? 

 

โครงการสร้างทางด่วนข้างต้น อาจจะไม่ได้มีการสำรวจความรู้สึกนึกคิดของชาวกัมพูชา ว่ายินดีที่จะจ่ายค่าทางด่วนหรือไม่ แต่เพียงคาดเดาไปเองว่าจะมีประชาชนยอมจ่ายค่าทางด่วน แล้วนำมาเป็นตัวเลขประเมินว่าจะมีความคุ้มค่าในการลงทุน

หรือโครงการสร้างสนามบิน ที่มิได้มีการประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการหรือไม่ อีกทั้งยังขาดการให้บริการต่อเนื่องที่ดี มีปัญหาสนามบินแห่งใหม่ อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองมากเกินไป ขนาดระบบขนส่งสาธารณะที่มากเพียงพอ จนเปิดโอกาสให้ชาวกัมพูชาฉวยโอกาสเรียกค่าบริการที่ไม่เป็นธรรม จนปรากฏเป็นคอนเทนต์ตำหนิสนามบินแห่งนี้ในสื่อโซเชียลมากมาย

 

ทั้งหมดนี้นั้น เป็นกรณีศึกษาที่ดี ถึงตัวอย่างของการลงทุนในโครงการภาครัฐที่ขาดยุทธศาสตร์ของชาติที่ชัดเจน 

 

สุดท้ายแล้ว แม้ว่าฝ่ายจีนในฐานะผู้ลงทุนนั้น จะกลายเป็นผู้ขาดทุนลงทุน แต่สิ่งที่ชาวกัมพูชายากจะปฏิเสธไปได้ก็คือ ในวันนี้นั้น จีนได้กลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของกัมพูชาไปแล้ว โดยในช่วงเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา สำนักข่าว แขมร์ไทมส์ ของกัมพูชารายงานว่า

 

ในปีที่แล้ว (2566) กัมพูชาเป็นหนี้จีน 4,110 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (142,469 ล้านบาท) อีกทั้งยังเป็นหนี้ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) อีก 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (79,708 ล้านบาท) และธนาคารโลก 1,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (45,065 ล้านบาท)

ถึงแม้ว่าสัดส่วนหนี้ต่อ GDP ของกัมพูชานั้นจะอยู่เพียง 37.2% ซึ่งถือว่าไม่มาก เมื่อเทียบกับไทยที่มีสัดส่วนที่ 63.28% แต่รัฐบาลไทยเป็นหนี้ต่างชาติเพียง 8.5% เท่านั้น ในขณะที่กัมพูชาเป็นหนี้ต่างชาติเกือบ 90%

 

แต่ทั้งนี้ ถ้าหากว่าการกู้ยืมเงินมาลงทุนนั้น เป็นไปด้วยความคุ้มค่า ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อประเทศมากเพียงพอที่รัฐบาลจะหาเงินมาชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ทันกำหนด ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

แต่ถ้าหากว่ารัฐบาลไม่สามารถกระทำได้ ก็จะกลายเป็นภาระหนี้สินที่ประชาชนทั้งประเทศจะต้องแบกรับเอาไว้ต่อไปอีกหลายสิบปี

 

อ้างอิง

[1] https://www.reuters.com/world/asia-pacific/cambodias-flagship-canal-hot-water-china-funding-dries-up-2024-11-21/

[2] https://www.rfa.org/english/cambodia/2024/11/25/canal-funan-techo-funding-china/

 

[3] https://www.khmertimeskh.com/501513555/china-continues-as-cambodias-largest-creditor-with-4-11-billion/

 

[4] https://www.worldeconomics.com/GrossDomesticProduct/Debt-to-GDP-Ratio/Cambodia.aspx

 

[5] https://www.pdmo.go.th/th/public-debt/debt-outstanding 

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    คุกกี้ที่มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างเป็นปกติ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณ เพื่อให้เราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมและความสนใจของคุณ

บันทึกการตั้งค่า