
ต่างชาติเข้าลงทุนอาเซียน แซงหน้าลงทุนในจีนเรียบร้อย เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นและต้นทุนอื่นๆ
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แซงหน้าจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี ขณะที่นักลงทุนพยายามสร้างห่วงโซ่อุปทาน “จีน+1” เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่สูงขึ้นและต้นทุนอื่นๆ
นสพ. South China Morning Post รายงานโดยอ้างอิงรายงานของ Angsana Council, Bain & Co และ DBS Bank ที่เผยแพร่เมื่อวันวานนี้ (1 ส.ค.) ว่า เศรษฐกิจ 6 อันดับแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ 206,000 ล้านดอลลาร์ (7.29 ล้านล้านบาท) ในปี 2023 เทียบกับการลงทุนในจีนที่ 43,000 ล้านดอลลาร์ (1.52 ล้านล้านบาท)
รายงานที่มีชื่อว่า “Navigating High Winds: Southeast Asia Outlook 2024-2034” คาดการณ์ว่าประเทศเศรษฐกิจชั้นนำ 6 แห่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ร้อยละ 5.1 ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยเวียดนามและฟิลิปปินส์จะเป็นประเทศที่มีการเติบโตเร็วที่สุด
โดยปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่การค้ากับเอเชียเร่งตัวขึ้นก็คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) และมาตรการการเปิดเสรีทางการค้าอื่นๆ
“ข้อกำหนดใน RCEP เกี่ยวกับการลงทุนจากต่างประเทศและสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอาจดึงดูดบริษัทข้ามชาติสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และยังเพิ่มอำนาจการต่อรองร่วมกันของภูมิภาค” รายงานระบุ
รายงานยังระบุปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่อาจส่งผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ปัจจัยแรกคือ “จีน+1” ธุรกิจกำลังกระจายการลงทุนออกจากจีน ด้วยเหตุผลต่างๆ เช่น การหยุดชะงักที่เกิดขึ้นระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งทำให้บริษัทต่างๆ ต้องการหลีกเลี่ยงการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป รวมถึงปัจจัยทางการเมือง ขณะที่ปัจจัยที่สองคือ การแข่งขันระหว่างภูมิภาคที่ ‘เป็นมิตร‘ และปัจจัยที่สาม คือ ทำเลที่ตั้งที่ดีของอาเซียน
(1 ดอลลาร์ = 35.38 บาท)